ทันทีที่เข้าไปในเมือง ก็มีเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีดังก้องอยู่เหนือนภาทั้งเมืองวั่งกู่
“สำนักเซียนเก้ากระบี่รับสมัครศิษย์ ผู้มีความประสงค์สามารถมารวมตัวกันที่สนามจัตุรัสที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง!”
คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเดินอยู่บนถนนใหญ่ต่างผงะ ก่อนจะรีบพิพากษ์วิจารณ์กัน
“สำนักเซียนเก้ากระบี่รับศิษย์อีกแล้วหรือ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้มีโควต้ากี่คน?”
“น่าเสียดายที่เงื่อนไขในการรับศิษย์ของสำนักเซียนเก้ากระบี่เข้มงวดไปหน่อย”
“ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักของสำนักเซียนเก้ากระบี่เป็นผู้แข็งแกร่งเซียนชั้นฟ้าขั้นสูงแล้ว อนาคตมีโอกาสบรรลุเป็นราชาเซียน หากได้เข้าร่วมสำนักเซียนเช่นนี้ อนาคตต้องยาวไกลแน่นอน”
“......”
สามารถได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นทำนองนี้ได้ทุกที่ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสำนักเซียนเก้ากระบี่ที่อยู่ในประเทศเซียนฉื้อหมิงมีชื่อเสียงไม่น้อยเลย
ในโลกเซียน มีประเทศเซียนตั้งสลอน สามารถมองเห็นสำนักเซียนได้ทุกแห่งหน
ประเทศเซียนก็ดี ราชวงศ์เซียนก็ช่าง ไม่เหมือนประเทศของมนุษย์ทั่วไปที่มีตำแหน่งขุนนางต่าง ๆ ที่นับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับสำนักต่าง ๆ ทว่าแค่ต่างกันที่สถานการณ์
ภายในม้วนหยกที่เทพธิดาหยู่โม่ทิ้งไว้ก็บอกเช่นกันว่า ผู้บำเพ็ญตนอิสระในโลกเซียนมีน้อยมากถึงมากที่สุด ผู้ที่สามารถฝึกตนแล้วประสบความสำเร็จมีไม่มากนัก คนส่วนมากจึงเลือกที่จะเข้าร่วมสำนักเซียนหรือเข้าร่วมประเทศเซียน
สำนักเซียนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของประเทศเซียนที่สำนักเซียนนั้น ๆ อยู่ ทว่าประเทศเซียนไม่ใช่เจ้าของสำนักเซียนนั้น ๆ ถือเป็นกองกำลังอิสระ มีบางสำนักเซียนที่มีผู้แข็งแกร่งเซียนชั้นฟ้าบรรลุเป็นราชาเซียน แต่สำนักเซียนก็จะไม่กลายเป็นประเทศเซียนเช่นกัน
เนื่องจากทุก ๆ ประเทศเซียนล้วนมีอาณาเขตของตัวเอง หากมีประเทศเซียนใหม่อุบัติขึ้นมา เช่นนั้นก็ต้องแบ่งเฉือนดินแดนจากประเทศเซียนอื่น ๆ แน่นอน ดังนั้นก็ใช่ว่าราชาเซียนทุกคนจะสามารถกลายเป็นจ้าวแห่งหนึ่งประเทศเซียนเสมอไป
“สำนักเซียนเก้ากระบี่ แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสำนักวิถีกระบี่ พี่รองไม่ไปทดลองดูหน่อยหรือ?”
หลัวซิวมองตู๋กูที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่งแล้วพูด ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะไม่สูง แต่พรสวรรค์วิถีกระบี่กลับยอดเยี่ยมมาก ครั้นอยู่ในโลกามนุษย์ยังประเมินอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมาถึงโลกเซียน พรสวรรค์วิถีกระบี่ของเขาต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่แน่นอน
“น้องรองควรไปทดลองดูหน่อยนะ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสำนักเซียนที่มีผู้แข็งแกร่งเซียนชั้นฟ้าขั้นสูงค่อยควบคุมรักษา หากสามารถกลายเป็นศิษย์ของสำนักเซียน มันมีความสำคัญต่อเส้นทางในการบรรลุเป็นเซียนในอนาคตของเจ้ามาก ๆ”ฉินจ้านก็พูดเช่นเดียวกัน
“ได้ เช่นนั้นก็ไปทดลองดูหน่อยแล้วกัน”ตู๋กูพยักหน้า ภายในใจก็คิดแบบเดียวกันเช่นกัน
เมื่อพวกเขาทั้งสามคนมาถึงเมืองฝั่งใต้ เห็นว่าสถานที่ที่สำนักเซียนเก้ากระบี่รับศิษย์มีคนยืนเรียงกันยาวเป็นหางว่าวแล้ว คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานมากถึงจะถึงฝั่งพวกเขา
อย่างไรก็ตามจิตใจของหลัวซิวกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นี่ เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากข้ามผ่านสะพานทะยานเซียนแล้วจะปรากฏในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง สภาพจิตใจเขาก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง เขากังวลมาก ๆ ว่าสักวันหากพวกน้องโรว่ ยู่เอ๋อร์แล้วก็ปิงหยูฝึกตนถึงแดนประมุขเต๋า แล้วอยากบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนเพื่อตามหาตัวเองละก็ เช่นนั้นมันก็จะอันตรายมากเลยมิใช่หรือ?
ครั้งนี้ประมุขเต๋ามกุฎเต๋าที่บินทะยานขึ้นมาพร้อมกับพวกเขามีเยอะมาก ยิ่งกว่านั้นคือยังมีกึ่งเซียนอย่างเทพธิดาหยุนเซวียนและหลินเทียนด้วย ทว่าเนื่องจากการไล่ล่าของฝูงแมลงซื่อเซียน พวกเขาจึงพลัดพรากจากกัน เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเทพธิดาหยุนเซวียนและหลินเทียนจะสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังได้หรือไม่
“เอ๊ะ?”
ในตำแหน่งที่อยู่ห่างไม่ไกลจากจุดรับสมัครของสำนักเซียนเก้ากระบี่ ตรงตำแหน่งริมหน้าต่างชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังดื่มเหล้า บนไหล่มีหนูสีทองเกาะอยู่หนึ่งตัว
และเวลานี้เจ้าหนูสีทองตัวนั้นก็ร้องจิ๊ด ๆ ขึ้นมา ทำให้แววตาของชายหนุ่มชุดขาวเป็นประกายขึ้นมาทันที
“เจ้าบอกว่าบนตัวคนคนนั้นมีสมบัติหรือ?”
อิงจากกระแสสัมผัสระหว่างตัวสำนึกและหนูสีทอง ชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างภัตตาคารมองออกไปด้านนอก สายตาร่วงลงบนหมู่คนที่กำลังสมัครเป็นศิษย์สำนักเซียนเก้ากระบี่ แล้วผนึกสายตาไปที่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนหนึ่ง
หนูสีทองตัวนี้มีนามว่าหนูฉุนเป่า ถือเป็นอสูรเซียนทิพย์ประเภทหนึ่งที่ค่อนข้างหาพบได้น้อย หากบริเวณใกล้เคียงมีสมบัติที่ไม่ธรรมดาปรากฏ หนูฉุนเป่าก็จะสัมผัสได้ ดังนั้นเมื่อผู้แข็งแกร่งส่วนมากออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอก โดยเฉพาะขณะที่สำรวจสถานที่ที่อย่างสถานอัญปริศนา ก็ล้วนจะพกเจ้าหนูประเภทนี้ติดตัวไปด้วย
จู่ ๆ หลัวซิวที่กำลังพูดคุยกับฉินจ้านและตู๋กูอย่างมีความสุขก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีคนจับตาดูตัวเอง หันขวับกลับไป แล้วมองไปทางชั้นสองของภัตตาคารที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เมื่อเขามองเห็นชายหนุ่มชุดขาวคนนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ผันเป็นรุ้งยาวดวงหนึ่ง มาปรากฏตรงหน้าเขาภายในพริบตา
“เจ้าหนู เอาแหวนเก็บของของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”
ชายหนุ่มชุดขาวพูดอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกมาโดยตรง ขยำไปทางแหวนเก็บของที่หลัวซิวสวมใส่อยู่บนนิ้วซ้าย
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหลัวซิวชะงักไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงเลยว่าในเมืองวั่งกู่จะมีคนหยาบคายแข็งกร้าวเช่นนี้ ถึงขั้นจะแก่งแย่งแหวนเก็บของของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวไม่อยากทำให้พวกเขาทั้งสองคนเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นจึงใช้ตัวสำนึกส่งเสียงบอกพวกเขา ก่อนจะผันเป็นแสงกลบินออกไปนอกเมืองโดยตรง
“ท่านชายจ้าว!”
“ท่านชายจ้าวไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เหล่าศิษย์จากสำนักเซียนเก้ากระบี่รีบเร่งเดินทางมา เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดขาวที่ฝ่ามือท่วมเต็มไปด้วยเลือด แต่ละคนจึงเดินขึ้นมาถามไถ่อย่างเคารพนอบน้อม
“อย่าปล่อยให้ไอ้เวรนั่นที่ทำร้ายข้าหนีรอดไปได้ พวกเจ้ารีบไล่ตามไปพร้อมกับข้า”
สีหน้าของชายหนุ่มชุดขาวหม่นหมองลง หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วโยนเข้าปาก รูเลือดบนฝ่ามือจึงฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
ถัดจากนั้นเขาก็ยกมือโบกครั้งหนึ่ง เรียกกระสวยสีขาวเงินออกมาหนึ่งชิ้น แล้วพาศิษย์ทั้งสี่จากสำนักเซียนเก้ากระบี่ไล่ตามไปยังทิศทางที่หลัวซิวจากไป
“น้อง……”
เมื่อตู๋กูเห็นว่าคนจากสำนักเซียนเก้ากระบี่ออกไปไล่หลัวซิว สีหน้าจึงเปลี่ยนแปลงไปทันที ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอยู่นั้น กลับถูกแววตาของฉินจ้านหยุดยั้งเอาไว้ก่อน
“สาเหตุที่น้องสามใช้ตัวสำนึกส่งเสียงให้เราในเมื่อครู่นี้ ก็เพราะไม่อยากให้เราเดือดร้อนไปด้วย ไอ้ซื่อบื้อเจ้าอย่าริอ่านหาเหาใส่หัวเชียวนะ”ฉินจ้านถลึงตาพลางใช้ตัวสำนึกส่งเสียง
“น้องสามตกอยู่ในความทุกข์ยาก เราทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขา แล้วจักนิ่งดูดายได้อย่างไร?”ตู๋กูก็ถลึงตากลับเช่นกัน รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“คนซื่อบื้ออย่างเจ้าจักไปเข้าใจอะไร! เราทั้งสองเป็นพี่เขาก็จริง แต่ศักยภาพของน้องสามแข็งแกร่งกว่าเราทั้งสองคนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ หากมีเพียงเขาคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถรับมือได้ แต่ถ้าเกิดเจ้าและข้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของน้องสามเสียเปล่า”
ฉินจ้านอธิบาย “หากเราเปิดเผยตรงนี้ว่าเรารู้จักกับน้องสาม หากเจ้าและข้าถูกผู้อื่นจับกุมตัวไป เจ้าคิดว่าน้องสามจะมาช่วยพวกเราหรือไม่มา?”
“จากอุปนิสัยของน้องสาม เขาต้องกลับมาช่วยเราอยู่แล้ว และทันทีที่เขากลับมา ก็เท่ากับการมาตกหลุมพรางเองมิใช่หรือ?”
ฉินจ้านย่อมไม่ใช่ผู้ที่ขี้ขลาดกลัวตายอยู่แล้ว เมื่อตู๋กูได้ยินคำอธิบายของเขา จึงเข้าใจขึ้นมาทันทีเช่นกัน แต่ทว่าความรู้สึกที่ทำได้เพียงนิ่งดูดายแล้วทำอะไรไม่ได้ กลับทำให้เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...