ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเข็มทิศสาส์นเต๋ารวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เทียมทานเสมอไป กระสวยขาวเงินที่ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นเรียกออกมาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ควบคู่กับการร่วมกันกระตุ้นของกึ่งเซียนห้าคน จึงไล่ตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มาตรแม้นว่าอยู่ในโลกเซียน ผู้แข็งแกร่งระดับเซียนก็ไม่ได้มีเกลื่อนกลาดอย่างผักกาดขาวข้างตลาดเช่นกัน ชายหนุ่มชุดขาวรวมไปถึงศิษย์จากสำนักเซียนเก้ากระบี่สี่คนนั้นล้วนหนุ่มมาก ๆ ผลการฝึกตนล้วนอยู่ที่แดนกึ่งเซียน
ซึ่งม้วนหยกที่เทพธิดาหยู่โม่ทิ้งไว้ก็มีการบรรยายเช่นกันว่า จอมยุทธ์ในโลกเซียน ขอแค่มีพรสวรรค์ปัญญาที่ไม่ธรรมดา โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนสามารถฝึกถึงแดงกึ่งเซียนได้ภายในระยะเวลาหลักร้อยปี มีโอกาสพัฒนาก้าวขึ้นสู่เซียน
และถ้าเกิดเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ปัญญาล้ำเลิศ ก็ยิ่งสามารถฝึกถึงแดนกึ่งเซียนได้เร็วกว่า มีโอกาสบรรลุเป็นเซียนร้อยทั้งร้อย และผู้โดดเด่นในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ปัญญาล้ำเลิศยิ่งสามารถบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียนแท้
เซียนแท้ที่กล่าวถึงนั้นก็คือเซียนที่มีวิถีเส้นทางที่เป็นของตัวเอง ใช้การตระหนักรู้ของตัวเองบุกเบิกวิถีเซียน จนบรรลุมรรคผล และนี่ถึงจะเป็นเซียนแท้
ส่วนเซียนธรรมดาทั่วไปนั้น เป็นเซียนที่ฝึกวรยุทธ์ของคนรุ่นก่อน ตระหนักธรรมวิถีของคนรุ่นก่อน และเดินบนเส้นทางเซียนที่คนรุ่นก่อนเคยเดิน
“ไอ้คนเลวกำเริบเสิบสาน บังอาจทำร้ายท่านชายจ้าว ยังไม่ยกมือยอมแพ้อีกหรือ?”
“มึงทราบหรือไม่ว่าท่านชายจ้าวคือผู้ใด? ท่านเป็นผู้ที่ผู้บำเพ็ญตนอิสระปานมดตัวจ้อยอย่างมึงสามารถรุกรานได้หรือ?”
“คนบางคนไม่ใช่ผู้ที่มึงสามารถรุกรานได้ หากยอมแพ้โดยละม่อมยังสามารถทำให้มึงตายอย่างมีที่ฝังได้ มิเช่นนั้นวิญญาณมึงไม่เพียงจะดับสลายสูญสิ้น กูจักทำลายดวงจิตแท้ของมึงด้วย!”
มีชายหนุ่มชุดขาวที่แซ่จ้าวเป็นผู้นำ ศิษย์วัยรุ่นห้าคนที่มีผลการฝึกตนเป็นกึ่งเซียนได้ทำการรายล้อมหลัวซิวเอาไว้อยู่กลางนภา
“เสียงดังชิบหาย!”
เงาร่างหลัวซิวกระพริบครั้งหนึ่ง แล้วปรากฏหน้าศิษย์คนหนึ่งจากสำนักเซียนเก้ากระบี่โดยตรง ก่อนจะปล่อยหัตถ์แหลกดาราออกไป
“ปั้ง!”
มีหมอกเลือดก้อนหนึ่งระเบิดแตกกลางท้องฟ้า ต่อให้เป็นศิษย์ระดับกึ่งเซียนของสำนักเซียนก็ต้านทานหนึ่งฝ่ามือของหลัวซิวไม่ได้อยู่ดี ถูกโจมตีจนร่างกายระเบิดแตกคาที่
หากเป็นเมื่อก่อน หลัวซิวยังไม่ถึงขั้นสามารถสังหารกึ่งเซียนได้ในฝ่ามือเดียว มิหนำซ้ำศิษย์ที่กำเนิดในสำนักเซียนแห่งโลกเซียนไม่ใช่ผู้ที่กึ่งเซียนทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้
แต่เขาได้ปลุกตื่นร่างเซียนไท่ซ่างในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง มีพลังการถ่ายทอดสืบสานที่เก่าแก่ทำให้เขาลอกคราบใหม่ ควบคู่กับวิชากลั่นร่างของต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่าง ร่างเนื้อของเขาในวินาทีนี้แข็งแกร่งถึงขั้นที่เหลือเชื่อมาก ๆ แล้ว ดังนั้นเมื่อปล่อยพลังฝ่ามือหนึ่งออกไป มันถึงได้มีพลานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้
“ไม่ใช่ร่างศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับดีกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์!”
หลัวซิวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขารู้สึกว่าบางทีร่างเนื้อของตัวเองในวินาทีนี้อาจจะไม่ด้อยกว่าเหล่าเซียนที่กลั่นร่างบรรลุมรรคผล ฝึกร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนออกมาได้แล้ว
หนึ่งฝ่ามือสังหารหนึ่งกึ่งเซียน เมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏในสายตาของสี่คนที่เหลือ ก็มีความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากดวงตา
เพราะภาพเหตุการณ์นี้มันดูแข็งกร้าวเกินไป ดุดันเกินไป โหดเหี้ยมเกินไป
แค่อาศัยวิชาของไร้รูปไร้ลักษณ์ พวกศิษย์กึ่งเซียนจากสำนักเซียนเก้ากระบี่ก็สัมผัสร่องรอยการเคลื่อนไหวของหลัวซิวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจ ศิษย์ที่เหลือของสำนักเซียนเก้ากระบี่ก็ถูกหลัวซิวสังหารภายในฝ่ามือเดียว ทำให้เขาได้รับแหวนเก็บของมาสี่วง
“ไปตายซะเถอะ!”
ชายหนุ่มชุดขาวที่แซ่จ้าวคนนั้นไม่ได้ตกใจกลัวแล้วหนีไปแต่อย่างใด แต่เป็นการเรียกแสงกระบี่ดวงหนึ่งออกมากะทันหัน แสงกระบี่ผนึกรวมกันจนกลายเป็นแก่นแท้ ยาวสามร้อยกว่าเมตร และมีออร่าสีเขียวมรกตไหลเวียนออกมาจากตัวกระบี่
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้สามารถทำให้เหล่าศิษย์จากสำนักเซียนเก้ากระบี่ปฏิบัติตามคำสั่งเขา จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเขาน่าจะมีตัวตนและความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา และแสงกระบี่ที่เรียกออกมาในวินาทีนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งพึ่งพิงของเขาเช่นกัน
เนื่องจากแสงกระบี่ดวงนี้ เป็นสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งวิถีกระบี่แดนเซียนคนหนึ่งใช้ปราณกระบี่ชาตะของตนผนึกรวมออกมา เมื่อใช้แสงกระบี่ดวงนี้โจมตี ก็ไม่ต่างอะไรจากเซียนกระบี่คนหนึ่งลงมือโจมตีด้วยตนเอง ต่อให้ปะทะกับเซียนคนหนึ่ง เขาก็มีกำลังรบที่สามารถต่อกรได้
ทันทีที่แสงกระบี่สีเขียวมรกตปรากฏ สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นพลังโจมตีของเซียนวิถีกระบี่เชียวนะ อานุภาพของกระบี่หนึ่งเพียงพอที่จะสามารถสังหารกึ่งเซียนที่นับไม่ถ้วน ผู้คนที่อยู่ต่ำกว่าแดนเซียน ไม่มีคนใดสามารถต้านทานได้
ทว่าหลัวซิวก็กลับมาสุขุมอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีทางใช้ร่างเนื้อมาต้านทานพลังโจมตีอย่างโง่เง่าอยู่แล้ว ไม่ว่าแสงกระบี่ดวงนี้จะทรงพลังมากเพียงใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงภัณฑ์เซียนระดับทั่วไป จะเทียบเคียงกับดาบหักเซียนและเหล็กเซียนชั้นกล้าได้หรือ?
“ตู้มม!”
เมื่อแสงกระบี่สีเขียวมรกตนั่นฟาดฟันมา เหล็กเซียนชั้นกล้าก็ปรากฏในมือหลัวซิวแล้ว
ฟาดเหล็กเซียนที่มีแสงสีทองแพรวพรายระยิบระยับออกไป แสงกระบี่สีเขียวมรกตนั่นก็ราวกับทำมาจากกระจก เสียงตู้มดังขึ้น แสงกระบี่ก็แตกสลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ!?”
ชายหนุ่มชุดขาวที่แซ่จ้าวคนนั้นตกตะลึงหนักมาก เขายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร แสงทองคลิปเปล่งแสงแพรวพรายก็แผ่คลุมไปทางเขาโดยตรง
อำนาจบารมีที่น่ากลัวจุติลงมา แม้นเขาจะเป็นกึ่งเซียน เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจบารมีนี้ก็เคลื่อนไหวไม่ได้เช่นกัน มากไปกว่านั้นเขาไม่สามารถโคจรผลการฝึกตนที่อยู่ในร่างกายได้ด้วยซ้ำ มองดูเหล็กเซียนที่มีแสงทองที่ระยิบระยับนั่นฟาดลงศีรษะตัวเองต่อหน้าต่อตา ถูกสังหารในหนึ่งกระบอง
ไม่มีเหตุสุดวิสัยใด ๆ เกิดขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับเหล็กเซียนชั้นกล้าที่ไม่ด้อยกว่าดาบหักเซียน ต่อให้เซียนถูกเหล็กเซียนชั้นกล้าโจมตี กระดูกในร่างกายก็ต้องแตกสลายเป็นฝุ่นผงเช่นกัน แล้วจะนับประสาอะไรกับกึ่งเซียนกระจอก ๆ อย่างเขาเล่า?
“ให้ตายเถอะ!”
ผู้คุมกฎโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง “จ้าวชูหมิงตายแล้ว พ่อเขาผู้อาวุโสจ้าวคงหมิงได้ส่งข่าวมาให้ข้าด้วยตนเอง พวกเจ้าตามข้าไปตำหนักหลักเมือง หยุดเรื่องการรับลูกชั่วคราว!”
“ว่าอย่างไรนะ? ศิษย์น้องจ้าวถูกผู้อื่นสังหารแล้วหรือ?”
“นั่นเป็นบุตรของผู้อาวุโสเชียวนะ ในเขตแดนนี้ ผู้ใดบังอาจสังหารเขา?”
“ดูเหมือนผู้บำเพ็ญตนอิสระที่พวกเขาไล่ล่ามีผลการฝึกตนเป็นเพียงมกุฎเต๋าเท่านั้น”
“......”
สีหน้าของศิษย์สำนักเซียนทั้งเจ็ดคนต่างเปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หากจ้าวชูหมิงตายไปแล้ว ศิษย์อีกสี่คนที่เหลือก็ไม่กลับมาเช่นกัน หรือพวกเขาก็ตกอยู่ในความอันตรายเหมือนกัน?
“หุบปากให้หมด!”
เซียนผู้คุมกฎตะคอกตำหนิ: “หากผู้อาวุโสจ้าวกล่าวโทษต่อเรื่องนี้ จักไม่มีคนใดสามารถหลุดพ้นจากความผิดในครั้งนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่ยกเว้น!”
เมื่อสิ้นเสียง เซียนผู้คุมกฎคนนี้ก็มองไปทางตู๋กู “เจ้าชื่อตู๋กูใช่หรือไม่? เจ้านำป้ายบัญชาการของข้าไปสถานที่ตั้งของสำนักเซียนเก้ากระบี่ก่อน คอยเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ ข้าค่อยมารับเจ้ากลับสำนักเซียน”
หลังจากพูดจบ เซียนผู้คุมกฎคนนี้ก็พาเหล่าศิษย์จากไปอย่างเร่งรีบ หากไม่สามารถจับกุมตัวฆาตกรได้ในระยะเวลาสั้น ๆ พวกเขาล้วนต้องเผชิญหน้ากับไฟโกรธของผู้อาวุโสจ้าวคนนั้น
ตู๋กูยืนผงะอยู่กับที่ เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อตอนกลายเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักเซียนแล้ว จะสามารถใช้ตัวตนของคนคุ้มกันหลัวซิว แต่นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ก็มีเหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นก่อน
การรับศิษย์หยุดลงชั่วคราว ทำให้คนจำนวนมากที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างรู้สึกไม่พอใจ ทว่ากลับไม่มีคนใดกล้าพูดอะไร นอกเสียจากคนคนนั้นไม่อยากเข้าร่วมสำนักเซียน
ฉินจ้านตบ ๆ ไหล่ตู๋กู ทั้งสองคนปนเปอยู่ในหมู่คน แล้วออกจากสนามจัตุรัสเมืองฝั่งใต้
“ท่านพี่ เกิดเรื่องกับน้องสามแล้ว เราควรทำอย่างไรดี?”ตู๋กูใช้ตัวสำนึกส่งเสียงพูดกับฉินจ้าน
“ออกจากเมืองวั่งกู่ด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด และรีบทิ้งป้ายบัญชาการที่เซียนผู้คุมกฎคนนั้นให้เจ้าด้วย!”
ฉินจ้านพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เข้มงวด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...