“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ เจ้าเป็นภูตปีศาจมังกร หรือภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรกันแน่"
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า ดาบปราบเซียนร่วงลงมาในมือของเขา จากนั้นก็มาถึงด้านหน้าภาชนะติ่งปีศาจมังกรที่ถูกสยบ
“ข้าย่อมเป็นดวงจิตของภาชนะติ่งปีศาจมังกรอยู่แล้ว ในอดีตภูตเซียนปีศาจมังกรได้ถูกจักรพรรดิเซียนจิ่วโยวกลั่นแปร ไม่มีความทรงจำของปีศาจมังกรอยู่อีกแล้ว ดังนั้นถึงได้มีข้าขึ้นมา”
มังกรโลหิตที่อยู่ในภาชนะติ่งมองดาบหักเซียนที่อยู่ในมือของหลัวซิวด้วยความหวาดกลัว
“เจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของดาบหักเซียนกับเหล็กเซียนชั้นกล้าหรือ?” หลัวซิวถามอีก
“เหล็กเซียนชั้นกล้านั้นเป็นอาวุธของมหามกุฎเซียนสยบในยุคโบราณก่อน ส่วนดาบหักเซียนเป็นอาวุธที่ฝึกเซ่นขึ้นโดยคนของเผ่าไท่ซ่างท่านหนึ่ง ปราบเซียนมานับไม่ถ้วน!
ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรกล่าวอธิบาย จู่ ๆ แสงสลัวก็ได้เปล่งออกมาจากดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่ง จ้องหลัวซิวตาเขม็ง “ดาบปราบเซียนยินยอมให้เจ้าใช้มัน หรือว่าเจ้า......”
“ถูกต้อง ข้าเป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง”
ในเมื่อภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรมองออกแล้ว หลัวซิวก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก
“เผ่าไท่ซ่างยังมีทายาทหลงเหลืออยู่บนโลกนี้อีกหรือ?” เมื่อเห็นหลัวซิวยอมรับ ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรดูตกตะลึงอึ้งทึ่งเป็นอย่างมาก
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้ารู้เรื่องของเผ่าไท่ซ่างมากน้อยแค่ไหน?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
“หกชนเผ่าในยุคบรรพกาล ไท่ซ่างอันดับหนึ่ง ตำนานเล่าว่าในยุคบรรพกาลที่เก่าแก่ที่สุด ชนเผ่าไท่ซ่างรุ่งโรจน์เกรียงไกรไร้ที่เปรียบ เป็นที่เคารพนับถือของทุกเผ่าพันธุ์!”
“เล่าขานกันว่า จักรพรรดิเซียนไท่ซ่างได้สร้างเวทย์ต้องห้ามเก้าชนิด ตราบใดที่เป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง ล้วนสามารถได้รับการถ่ายทอดผ่านทางวิญญาณและฐานร่าง”
“แต่ในเวลาต่อมาจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างได้ออกไปตามหาแดนสูงสุดแห่งวิถียุทธ์ เก้าต้องห้ามสืบทอดได้ดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก ดังนั้นผู้แข็งแกร่งมากมายได้ออกไล่ล่าชนเผ่าไท่ซ่าง ค้นคว้าวิญญาณดั้งเดิมกับสายเลือดฐานร่างของพวกเขา เพื่อสืบเสาะความลึกลับมหัศจรรย์ของเก้าต้องห้าม”
“จนกระทั่งในเวลาต่อมา ชนเผ่าไท่ซ่างแทบสูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้น และเมื่อการเวลาผ่านไป สายเลือดของชนเผ่าไท่ซ่างก็เบาบางลง อัตราที่เก้าต้องห้ามสืบทอดจะตื่นขึ้นก็ลดน้อยลงตาม บวกกับที่ไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาความลับของเก้าต้องห้ามบนร่างของคนชนเผ่าไท่ซ่างได้ ทายาทของชนเผ่าไท่ซ่างได้ปรากฏขึ้นเป็นบางครั้ง ส่วนมากต่างก็แวบมาแล้วก็หายไปเท่านั้น ไม่มีความสำเร็จใหญ่หลวงอันใด”
“เจ้ารู้มากพอสมควรนี่” หลังจากได้ฟังคำพูดของภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกร หลัวซิวก็ตะลึงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าชนเผ่าไท่ซ่างจะมีประวัติศาสตร์เช่นนี้
เช่นเดียวกันกับเผ่าจี้และตระกูลเทพสงครามเมื่อในอดีต ที่เคยรุ่งโรจน์และเจริญเฟื่องฟู สุดท้ายก็ยังล่มสลาย ก็เหมือนกับการหมุนเวียนของวัฏจักรความเป็นตาย การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์
“ข้าติดตามจักรพรรดิเซียนจิ่วโยวมาเป็นเวลานานแสนนาน เรื่องราวเหล่านี้ข้าได้ยินมาจากจักรพรรดิเซียน” ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรกล่าว
“ข้ายังเคยได้ยินจักรพรรดิเซียนพูดอีกว่า ในยุคโบราณหลังอันยาวนาน ก็ไม่มีข่าวคราวของชนเผ่าไท่ซ่างอีกเลย จักรพรรดิเซียนยังเคยได้กล่าวอย่างทอดถอนใจ ว่าชนเผ่าไท่ซ่างอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว”
“จากยุคบรรพกาลมาจนถึงปัจจุบัน มันเป็นกาลเวลาที่ยาวนานยิ่งนัก สายเลือดไท่ซ่างในร่างของเจ้าแทบจะไม่มีความสำคัญอันใดเลย เกรงว่าคงอยากที่จะได้รับการสืบทอดของเก้าต้องห้าม”
“ข้าจะได้รับเก้าต้องห้ามสืบทอดหรือไม่นั้นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า ในเมื่อจักรพรรดิเซียนเคยบอกเอาไว้ว่าเมื่อเจ้าหลุดพ้นจากการกักขังแล้ว ผู้ใดได้เจ้าไป ผู้นั้นก็คือนายของเจ้า แต่เมื่อเจ้าคิดจะเอาชีวิตข้า”
หลัวซิวกล่าวพลางลูบคมดาบของดาบหักเซียน
“แค่ก ๆ ๆ ......คือว่า......ข้าแค่ต้องการทดสอบเจ้า......” บนใบหน้าของภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรเต็มไปด้วยความประหม่า หากรู้แต่แรกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง แถมยังมีดาบหักเซียนกับเหล็กเซียนชั้นกล้าอยู่ในมือ เช่นนั้นข้าก็คงยอมจำนนเจ้าไปตั้งนานแล้ว
“อ๋อ? กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าข้าผ่านการทดสอบของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลัวซิวกล่าวเหมือนจะยิ้มแลไม่ยิ้มแล
“แน่นอน แน่นอน......” ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรพยักหน้าติดต่อกัน มันได้ถูกโซ่มังกรสายฟ้าสยบมาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่อยากจะโดนเหล็กเซียนชั้นกล้าสยบเอาไว้อีกหรอกนะ
“เช่นนั้นก็ดี”
หลัวซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นตัวสำนึกกลุ่มหนึ่งก็ได้ปกคลุมภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรเอาไว้
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรตกตะลึง แม้ว่าสำหรับเขาแล้วตัวสำนึกกลุ่มนี้จะอ่อนแอมาก แต่เนื่องจากมีดาบหักเซียนกับเหล็กเซียนชั้นกล้า ทำให้เขาในตอนนี้หวั่นเกรงทายาทของเผ่าไท่ซ่างผู้นี้เป็นอย่างมาก
“ในเมื่อเจ้าจะยอมเป็นทาสของข้า เช่นนั้นข้าย่อมต้องลงตราประทับไว้บนภาชนะติ่งปีศาจมังกรอยู่แล้ว"
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะกลั่นแปรตนเอง ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรคิดจะต่อต้านโดยสัญชาตญาณ วันเวลาผ่านมานานแสนนานกว่าจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของจักรพรรดิเซียน มันใฝ่ฝันอิสระ ไม่อยากถูกคนกลั่นแปร
แต่พอเห็นหลัวซิวถือดาบหักเซียนไว้ในมือ ภายในใจของเขาขี้ขลาดตาขาวขึ้นมาทันที เขาเคยได้ฟังจักรพรรดิเซียนจิ่วโยวกล่าวถึงชื่อเสียงอันชั่วร้ายของดาบหักเซียนมาก่อน ดาบเล่มนี้สามารถทำลายร่างวิญญาณได้ ยิ่งกว่านั้นยังใช้สยบภูตเซียนกับจิตภัณฑ์อย่างเขาโดยเฉพาะ
“หึ เจ้าหนุ่มคนนี้ยังไม่ถึงแดนมนุษย์อมตะด้วยซ้ำ แม้จะปล่อยให้เขาลงตราประทับกลั่นแปรไว้ในภาชนะติ่ง ถึงตอนนั้นข้าก็สามารถแก้ไขได้โดยง่าย ถึงเวลานั้นฟ้าดินกว้างใหญ่ ข้าอยากจะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลัวซิวก็ไม่มีทางเอาระเบิดเวลาเช่นนี้ไว้ข้างกายตนเอง ดังนั้นหากเขาต้องการให้ภาชนะติ่งปีศาจมังกรยอมให้ตัวเองใช้ได้ เช่นนั้นก็จะต้องกำราบภูตภาชนะติ่งก่อนเป็นอันดับแรก
ตอนที่เขาสลักตราประทับกลั่นแปรนั้นได้ใช้วิชาอาถรรพณ์ต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ด้วยเหตุนี้หลังจากภาชนะติ่งปีศาจมังกรถูกเขาลงตราประทับ ภาชนะติ่งใบนี้ก็ไม่มีทางหลุดจากการควบคุมของเขาได้
จากนั้นไม่นาน ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรหายใจแขม่ว ร้องขอชีวิตอยู่ไม่หยุด
“หากมีครั้งหน้า ข้าจะกำจัดเจ้าเสีย”
หลัวซิวเก็บดาบหักเซียนกับเหล็กเซียนชั้นกล้าลง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้ารับรองว่าต่อไปไม่กล้าแล้ว หลังจากนี้นายท่านให้ไปซ้าย ข้าก็ไม่กล้าไปขวาอย่างแน่นอน”
ภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรหดศีรษะ สำหรับอาวุธของขลังชิ้นหนึ่ง จิตภัณฑ์มิใช่สิ่งจำเป็นอะไร ดังนั้นต่อให้มันถูกหลัวซิวทำลายไป อานุภาพของภาชนะติ่งปีศาจมังกรก็จะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุที่หลัวซิวเก็บภูตภาชนะติ่งปีศาจมังกรเอาไว้นั้น ก็เพราะเห็นแก่ที่มันเคยติดตามจักรพรรดิเซียนจิ่วโยว ซึ่งเป็นเหมือนดั่งหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตในยุคโบราณหลัง
หลังจากได้กำราบภาชนะติ่งปีศาจมังกร ดวงจิตของหลัวซิวก็ได้กลับคืนสู่ร่าง ล้วงเอายาเม็ดหนึ่งออกมาด้วยความเคยชิน แล้วโยนเข้าไปในปาก
“อัคคีชีวีของข้ามีระดับไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มระดับเป็นเซียนอัคคีถึงจะได้ นอกจากนี้ข้ายังต้องการเตายาระดับภัณฑ์เซียน”
สืบเสาะค้นหาในแหวนเก็บของ หลัวซิวก็มีแผนการอยู่ในใจ แม้ว่าหากเขาต้องการซื้อของจะต้องใช้กรองแก้วเซียน กรองแก้วเซียนที่เขาได้รับมาเมื่อก่อนหน้านี้ก็ถูกใช้ไปจนหมด แต่เขาก็ยังมีภัณฑ์เซียนที่นำมาจากโลกามนุษย์อยู่อีกหลายชิ้น หากขายไปก็แลกกรองแก้วเซียนมาได้จำนวนไม่น้อย
คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ได้เคลื่อนใช้ไร้ลักษณ์เพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์และกลิ่นอาย แม้ว่าสำนักเซียนเก้ากระบี่จะได้รับความเสียหายอย่างหนักในโบราณสถานปีศาจมังกร แต่เขาก็ยังต้องระวังมิให้ผู้อื่นจำเขาได้
เพื่อนที่ของประเทศเซียนประเทศหนึ่งนั้นกว้างขวางมาก เนื่องจากราชาเซียนฉื้อหมิงได้สิ้นชีพไปในโบราณสถานปีศาจมังกร เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ประเทศเซียนฉื้อหมิงก็ได้ตกอยู่ในความวุ่นวาย
มีราชาเซียนในผู้บำเพ็ญตนอิสระหลายคน รวมทั้งบรรพอาจารย์ของสำนักราชาเซียนต่างก็มีใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะหากสามารถควบคุมประเทศเซียนแห่งหนึ่งได้ ก็เท่ากับได้ครอบครองทรัพยากรและสมบัติที่มากมายมหาศาล
เมืองหยุนม่านอยู่ห่างจากเมืองวั่งกู่ถึงร้อยล้านลี้ เจ้าเมืองคือเซียนหญิงผู้หนึ่ง มีชื่อว่าเจียงม่าน ผู้คนขนานนามว่าเทพธิดาหยุนม่าน
หลัวซิวได้มาถึงตรงนี้ และได้ตามหาร้านที่รับซื้อภัณฑ์เซียนกับโอสถเซียนแห่งหนึ่ง เพื่อแลกกรองแก้วเซียนมาใช้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...