มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3100

“พ่อหนุ่ม เจ้ากินตามใจปากได้ แต่จะพูดจามั่วซั่วไม่ได้นะ อยู่ในเมืองหยุนม่านหอเยียนเซียะของเรามีชื่อเสียงไม่เป็นสองรองใคร หากผู้ใดกล้าใส่ร้ายทำให้หอเยียนเซียะของข้าเสียชื่อเสียง ผลที่ตามมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถรับได้”

ชายชราผมขาวหรี่ตาลง และยิ้มอย่างมีเลศนัย

แม้ว่าเขาจะกำลังยิ้มอยู่ แต่หลัวซิวกลับยังคงสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่ตนเองอยู่ เห็นได้ชัดว่าอาศัยที่มีหอเยียนเซียะหนุนหลัง จึงคิดแย่งชิงภัณฑ์เซียนหอคอยเงินหลังนั้นไปครอบครอง

“ในเมื่อชื่อเสียงของหอเยียนเซียะไม่มีปัญหา เช่นนั้นตอนนี้ข้าต้องการไปจากที่นี่แล้ว ของของข้าก็ควรคืนให้ข้าได้แล้วสินะ?” หลัวซิวลุกยืนขึ้น สายตาตกลงบนหอคอยเล็กสีเงินที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย

“ของของเจ้า? เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า? เจ้ามาที่นี่เพื่อประเมินราคาของที่ต้องการขาย กรองแก้วเซียนเจ้าก็ได้รับไปแล้ว ภัณฑ์เซียนที่อยู่ในมือข้าชิ้นนี้ เจ้าได้ขายให้กับข้าแล้ว” ชายชราผมขาวยิ้มกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์

“ดูท่าท่านจะไม่ยอมคืนให้ข้าแล้วสินะ?” ความเย็นยะเยือกแวบผ่านไปในดวงตาของหลัวซิว

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ หากเจ้าไม่มีสมบัติอะไรที่ต้องการประเมินราคาเพื่อขายอีก เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”

ชายชราผมขาวคร้านที่จะเสแสร้งอีกต่อไป ส่งเสียงหึออกมาหนึ่งครั้ง พลังกดดันแดนเซียนกระจายออกมาจากร่าง ถาโถมเข้าไปหาหลัวซิว

เรื่องที่คล้ายกันนี้เขาได้ทำมามากมาย ผู้บำเพ็ญตนอิสระที่นำภัณฑ์เซียนมาขายผู้หนึ่ง ต่อให้ต้องพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับความยิ่งใหญ่ของหอเยียนเซียะ ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝนทน

เดิมทีใช้พลังกดดันของมนุษย์อมตะบีบบังคับกึ่งเซียนผู้หนึ่งนั้นมันเป็นเรื่องง่ายมาก ทว่าหลัวซิวกลับยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่าพลังกดดันที่ชายชราผมขาวปลดปล่อยออกมา เป็นเหมือนดั่งสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมากระทบใบหน้า

หลัวซิวอยากลงมือกำจัดอีกฝ่ายยิ่งนัก แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในแดนมนุษย์อมตะ แต่หลังจากที่เขาได้รับต้องห้ามไท่ซ่างที่หกร่างศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ไท่ซ่างฝึกฝนสำเร็จ มีโอกาสชนะเพียงเล็กน้อยหากต้องเผชิญหน้ากับเซียนดิน แต่ถ้าหากเป็นเพียงมนุษย์อมตะ ก็ไม่ยากเลยที่จะเอาชีวิตของอีกฝ่าย

แต่ที่นี่คือหอเยียนเซียะ เขาทราบดีว่าหากลงมือที่นี่ เช่นนั้นแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในเหตุผล ก็จักต้องไม่มีผลลัพธ์ที่ดีอันใดอย่างแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ได้ระงับความต้องการสังหารที่อยู่ในใจลง กล่าว: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เอาตามที่ท่านกล่าวมาในเมื่อสักครู่ ท่านให้กรองแก้วเซียนชั้นล่างข้าสามแสนก้อน ข้าก็จะไม่เอาภัณฑ์เซียนชิ้นนั้นแล้ว”

พอชายชราผมขาวได้ยินดังนั้น รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เขาย่อมมองออกอยู่แล้วว่า เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่กล้าก่อเรื่องในหอเยียนเซียะ

“เมื่อครู่ข้าได้ให้โอกาสเจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่คว้ามันเอาไว้ ดังนั้นข้าจะไม่ให้กรองแก้วเซียนกับเจ้าเลยแม้แต่ก้อนเดียว ถือซะว่าเป็นการให้บทเรียนแก่เจ้า”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ไม่พูดมากอะไรอีก แล้วหันหลังเดินจากไปทันที

“หึ เจ้าคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”

แววความเย้ยหยันแวบผ่านไปในดวงตาของชายชราผมขาว จากนั้นสายตาก็ตกลงไปบนหอคอยเล็กสีเงินที่อยู่ในมือ รอยยิ้มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

เขาสามารถมองออก ภัณฑ์เซียนชิ้นนี้รับรองได้ว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากสมัยโบราณ วิธีหลอมอาวุธที่แฝงอยู่ด้านในไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน แม้ว่าตัวเขาเองจะสืบเสาะอะไรออกมาไม่ได้เลย แต่แค่นำไปขายต่อ จักต้องมีนักภัณฑ์เซียนระดับสูงมากมายยอมจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อมันอย่างแน่นอน

ในตอนนี้เอง ชายชราผมขาวก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังลอยมาจากห้องโถง

“หอเยียนเซียะร้านใหญ่รังแกคน ข้านำสมบัติไปประเมินราคาเพื่อขาย ผู้ประเมินกลับฮุบสมบัติไป อาศัยว่าตนเองมีผลการฝึกตนสูงจึงรังแกข่มเหงข้า......”

ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอเยียนเซียะ หลัวซิวเดินออกมาจากห้องประเมินราคา แล้วตะโกนเสียงดังขึ้นมา เสียงของเขาดังก้องไปทั่วหอเยียนเซียะ

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ผู้คนที่เดินไปมาอยู่ในหอเยียนเซียะต่างก็ชะงัก จากนั้นก็พากันพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

“ไม่นึกเลยว่าหอเยียนเซียะจะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้?”

“ข้าได้ยินคนอื่นบอกว่าหอเยียนเซียะมีชื่อเสียงค่อนข้างดีมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?”

“ชื่อเสียงของหอเยียนเซียะไม่เลวจริง ๆ แต่ก็มักมีพวกคนขี้โกงไร้ยางอาย สหายคนหนึ่งของข้าก็เคยหถูกตาเฒ่าหวางเต๋ออี้ผู้นั้นเอาเปรียบมาเหมือนกัน”

“......”

ห้องโถงชั้นหนึ่ง ผู้คนที่เดินไปมาอยู่นั้นล้วนเป็นมนุษย์อมตะ หรือไม่ก็นักยุทธ์ชั้นล่างที่มีระดับต่ำกว่ามนุษย์อมตะลงไป หลัวซิวไม่ใช่กรณีแรก เพียงแต่คนที่เคยถูกเอาเปรียบในก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น เพราะกลัวว่าจะถูกเอาความในภายหลัง

ตอนนี้มีคนเป็นผู้นำที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หลายคนต่างก็คล้อยตามขึ้นมาทันที หากไม่ใช่มีสหายเคยถูกเอาเปรียบ ก็เป็นตนเองที่เคยถูกเอาเปรียบมาก่อน

เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องประเมินราคามีเพียงพวกเขาสองคนที่รับรู้ ดังนั้นเขามั่นใจว่าตราบใดที่ตนไม่ยอมรับ เช่นนั้นเจ้าหนุ่มชุดคลุมดำผู้นี้ก็เอาหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีสิ่งของอย่างลูกแก้วความทรงจำ แต่เขาหวางเต๋ออี้เอาเปรียบผู้คนมามากมายเช่นนี้ ย่อมรับรู้ได้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมิได้เอาลูกแก้วความทรงจำออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

เพราะของอย่างลูกแก้วความทรงจำจะไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเก็บไว้ในแหวนเก็บของ จักต้องนำออกมามันถึงจะทำการบันทึกภาพเหตุการณ์และเสียงในตอนนั้นได้

อีกอย่างตอนที่พูดเขาก็ได้ใส่ใจพอสมควร ต่อให้คนผู้นี้นำลูกแก้วความทรงจำออกมา ก็มีหลักฐานไม่เพียงพอ

ผู้ดูแลห้องโถงชั้นหนึ่งแซ่ลู่คนนั้นขมวดคิ้ว สำหรับหวางเต๋ออี้คนนี้เขาก็พอจะรู้จักนิสัยอยู่บ้าง เคยทำเรื่องฮุบสมบัติของผู้อื่นมาก่อนจริง ๆ แต่เนื่องจากเจ้าของสมบัติหวั่นเกรงหอเยียนเซียะและไม่มีหลักฐานจึงปล่อยให้เรื่องราวผ่านไป

บวกกับที่หวางเต๋ออี้มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับคนที่อยู่เบื้องบน ดังนั้นผู้ดูแลอย่างเขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

แต่เรื่องในวันนี้มันค่อนข้างไม่น่าดูเลยจริง ๆ ผู้คุมการลู่ยังวางแผนอีกว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วจะแจ้งไปยังเบื้องบน ขอให้ย้ายหวางเต๋ออี้ผู้นี้ไปที่อื่น

ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาของผู้คุมการลู่ก็มองไปยังหลัวซิว “รบกวนคุณชายแสดงหลักฐาน ขอเพียงคุณชายมีหลักฐานชัดเจน เช่นนั้นข้าจักต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ท่านอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากคุณชายไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นจะถือเป็นการทำร้ายชื่อเสียงหอเยียนเซียะของข้า”

ตอนที่พูดมาถึงประโยคสุดท้ายนั้น แววความเย็นยะเยือกได้แวบผ่านไปในดวงตาของผู้คุมการลู่ ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อเสียงของหอเยียนเซียะก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล้ามาทำลายชื่อเสียงของหอเยียนเซียะ เช่นนั้นต่อไปหอเยียนเซียะก็อย่าได้เปิดทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนอีกเลย

“หวังว่าผู้คุมการลู่จะทำได้ตามที่พูด” หลัวซิวกล่าวกับผู้คุมการลู่

“เรื่องนี้ท่านสบายใจได้ มีผู้คนมากมายเช่นนี้เป็นพยาน หากผู้ประเมินราคาของหอเยียนเซียะของเราบีบบังคับซื้อขาย ตัวข้าจะไม่ยอมปล่อยไปอย่างแน่นอน!” ผู้คุมการลู่กล่าวด้สยท่าทางเฉยเมย

“เจ้าช่างพูดจาเหลวไหลยิ่งนัก ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ หากแสดงหลักฐานออกมาไม่ได้ ข้าจักต้องให้เจ้ารับรู้ถึงผลที่ตามมาของการใส่ร้ายข้าอย่างแน่นอน!” หวางเต๋ออี้กล่าวด้วยความโมโห ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่โดนทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น

หลัวซิวมิได้ไปสนใจหวางเต๋ออี้ คนที่กลายเซียนสำเร็จได้แท้ ๆ กลับทำเรื่องที่ต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้ได้ คนประเภทนี้ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นผู้แข็งแกร่งอยู่เลยสักนิด ก็แค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เขามองไปยังผู้คุมการลู่ กล่าว: “ข้าขอถามคำถามสุดท้าย หากข้ามีหลักฐานชัดเจนมายืนยันว่าหวางเต๋ออี้ได้ฮุบสมบัติของข้าไปแถมยังไม่ได้ให้กรองแก้วเซียนกับข้า ผู้คุมการลู่จะจัดการกับเขาเช่นไร?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทุกคนต่างมองไปยังผู้คุมการลู่ โดยเฉพาะพวกคนที่เคยถูกหวางเต๋ออี้เอาเปเรียบมาก่อน ต่างก็ยากรู้ว่าหลังจากเรื่องราวที่ตาเฒ่าหน้าไม่อายคนนี้ทำลงไปได้ถูกเปิดโปงแล้วจะมีจุดจบเช่นไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ