ภายใต้สถานที่ที่มีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก เมื่อเผชิญหน้ากับคำสอบถามของหลัวซิว ทำให้ผู้คุมการลู่ขมวดคิ้วลงไปอีกครั้ง
สำหรับหอการค้าอย่างหอเยียนเซียะที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ชื่อเสียง ทันทีที่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าหวางเต๋ออี้ใช้อำนาจแย่งซื้อของของลูกค้า เช่นนั้นบทลงโทษจะไม่ธรรมดาแน่นอน มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถทำให้ผู้คนหายโกรธได้ ไม่เพียงพอที่จะสามารถรักษากอบกู้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงอันยุติธรรมของหอเยียนเซียะกลับคืนมาได้
“หากเจ้ามีหลักฐานมาพิสูจน์ได้จริง ๆ เช่นนั้นข้าก็จักทำลายผลการฝึกตนของหวางเต๋ออี้ทิ้งด้วยเงื้อมมือข้าเอง อีกทั้งหักแขนทั้งสองข้างของเขา และชดใช้ค่าเสียหายที่แน่นอนให้แก่เจ้า”
ผู้คุมการลู่แค่ครุ่นคิดชั่วขณะ ก็ตอบกลับว่า “หากเจ้าไม่มีหลักฐานที่มีประสิทธิผล เช่นนั้นในฐานะที่เจ้าใส่ร้ายป้ายสีหอเยียนเซียะของเรา บทลงโทษของเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ผลการฝึกตนถูกทำลายและหักแขนทั้งสองข้าง!”
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาทันที พอจะพูดได้เลยว่าบทลงโทษนี้รุนแรงมาก การที่ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์คนหนึ่งถูกทำลายทิ้ง ก็เท่ากับไม่สามารถมีชีวิตคงอยู่ในโลกที่มีผู้แข็งแกร่งเป็นจ้าวได้แล้ว ทั้งยังต้องถูกหักแขนทั้งสองข้างอีก นั่นแทบจะไม่ต่างอะไรจากการถูกประหารชีวิตเลย!
“เจ้าหนู มึงตายแน่! งัดหลักฐานของมึงออกมาสิ!”หวางเต๋ออี้แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
หลัวซิวก็ยังไม่ใส่ใจเขาอีกเช่นเคย อมยิ้มแล้วตอบกลับอย่างเย็นชา: “การจัดการของผู้คุมการลู่ยุติธรรมมาก”
“ถึงตอนนี้แล้วยังกล้าปากแข็งคุยโวโอ้อวดอีก กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวมึงจะยังยิ้มได้อีกหรือไม่”หวางเต๋ออี้พูดฉอด ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
หลัวซิวกวาดตามองหวางเต๋ออี้อย่างเย็นชารอบหนึ่ง “ที่กูไม่เคยลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับมึง เพราะในสายตากูมึงก็เป็นเพียงตัวตลกกระจอก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ ในเมื่อหมาหัวเน่าอย่างมึงเอาแต่เห่าอย่างปากดี แล้วมึงกล้าเดิมพันกับกูไหมเล่า?”
“ไอ้สารเลว มึงบังอาจด่าประจานกูอย่างนั้นรึ?”หวางเต๋ออี้โกรธเกรี้ยวอย่างมาก
“คำหนึ่งก็บอกว่ากูคุยโวโอ้อวด สองคำก็คุยโวโอ้อวด บอกว่ากูโลภไม่รู้จักพอ บอกว่ากูใส่ร้ายป้ายสี คนที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น สุดท้ายก็จะโดนผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามอยู่ดี ที่กูบอกว่ามึงเป็นหมาหัวเน่ายังเป็นการลดทอนคุณค่าหมาหัวเน่าเลย”หลัวซิวแสยะยิ้มเยือกเย็นอย่างไม่ยี่หระ
“หัวเสียเป็นบ้าเลย! หากมึงงัดหลักฐานออกมาไม่ได้ กูจะฉีกปากเน่า ๆ นี่ของมึงทิ้งแน่นอน! มึงจะเดิมพันอะไรกับกู?”หวางเต๋ออี้โกรธมากจนผมตั้ง
“เดิมพันด้วยชีวิต!”หลัวซิวหรี่ตาลง
“หากกูงัดหลักฐานออกมาไม่ได้ กูตาย! หากกูงัดหลักฐานออกมาได้ มึงตาย!”
“ได้! กูเดิมพันกับมึง! หากมึงงัดหลักฐานออกมาไม่ได้ กูไม่มีทางปล่อยให้มึงตายไปง่าย ๆ หรอกนะ กูจะทำให้มึงได้ตายทั้งเป็น!”
หวางเต๋ออี้โกรธเกรี้ยวมากจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว เขาคือเซียน ทั้งยังเป็นนักภัณฑ์เซียนอีก ไม่นึกเลยว่าจะถูกผู้น้อยกึ่งเซียนตนหนึ่งด่าประจานต่อหน้าสาธารณชน เขาไม่มีทางให้อภัยหลัวซิว
เมื่อเห็นหวางเต๋ออี้ตอบตกลง หลัวซิวจึงมองไปทางผู้คุมการลู่ “รบกวนผู้คุมการลู่เป็นคนกลางช่วยรับรองให้หน่อยเป็นอย่างไร?”
ผู้คุมการลู่มองหลัวซิวรอบหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกันแน่ นอกเสียจากเป็นผู้แข็งแกร่งที่ชำนาญเกณฑ์เวลา ย้อนเวลาฉายภาพฉากที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นให้ทุกคนดู มิฉะนั้นจากความเข้าใจของเขาที่มีต่อหวางเต๋ออี้ หวางเต๋ออี้ไม่มีทางทิ้งจุดอ่อนร่องรอยใด ๆ ไว้ให้คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายต่างเดิมพันด้วยชีวิต เช่นนั้นแซ่ลู่สามารถรับรองให้พวกเจ้าได้!”ผู้คุมการลู่พยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญทุกท่านตามข้ามา แล้วก็ผู้คนที่เคยถูกตาแก่หน้าด้านไร้ยางอายนั่นหลอกทำร้ายก็ตามมาด้วย ทุกคนช่วยไปเป็นประจักษ์พยานต่อจุดจบของหมาหัวเน่าปลิ้นปล้อนนั่นพร้อมกับข้า!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็เดินตรงไปทางห้องวินิจฉัยชี้ขาดในเมื่อครู่นี้
“พูดดีมาก! เมื่อปีนั้นตาหมานั่นหลอกต้มสมบัติชิ้นหนึ่งที่กูได้รับมาจากโบราณสถาน แล้วโยนกรองแก้วเซียนชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อนให้กูปานขี้ข้าขอทาน ทั้งยังข่มขู่ข้าอีก ความแค้นในครั้งนั้นกูจดจำมานานหลายปีแล้ว”
มีคนเอ่ยปากพูดเสริมขึ้นมา ผู้พูดคือเซียนผู้บำเพ็ญตนอิสระตนหนึ่ง เขาถูกหวางเต๋ออี้ถลึงตาใส่อย่างดุดัน วางแผนที่จะล้างแค้นฝ่ายตรงข้ามหลังจากจบเรื่องนี้
ทุกคนล้วนเดินตรงไปทางห้องวินิจฉัยชี้ขาดในตอนนั้น หลัวซิวก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นออร่าเกณฑ์ธรรมวิถีที่ลึกลับก็ไหลเวียนออกมาจากร่างกายเขา
“เวิ่ง!”
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพบินออกมาจากร่างกาย แล้วผันเป็นเข็มทิศสาส์นเต๋า ก่อนจะมีพลังออร่าของธรรมเกณฑ์เวลาแพร่กระจายออกมา
“สืบสาวห้วงเวลา หวน!”
ท่ามกลางสายตาที่เหลือเชื่อของผู้คน เห็นเพียงหลัวซิวปล่อยตราประทับที่สลับซับซ้อนออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง ห้วงเวลาภายในห้องวินิจฉัยชี้ขาดจึงเริ่มไหลย้อนกลับภายในพริบตา
“เต๋าเพลา! ไม่นึกเลยว่าคนดังกล่าวจะฝึกเกณฑ์เวลา!”
“เกณฑ์เวลาขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในธรรมเต๋าที่ฝึกยากที่สุด การที่สามารถฝึกถึงแดนกึ่งเซียนได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ซึ่งมีเพียงเหล่าอัจฉริยะที่กำเนิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ราชวงศ์เซียนเท่านั้นถึงจะมีโอกาสพัฒนาได้สูงกว่านี้”
“ต่อให้เขายึดกุมพลังเกณฑ์เวลาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ตาแก่หวางเป็นเซียน ส่วนเขาเป็นเพียงกึ่งเซียน จากพลังความสามารถของกึ่งเซียน ยังไม่สามารถย้อนเวลาและมีผลต่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเซียน”มีคนพูดอย่างท้อใจ
พลังแห่งเวลาไม่ได้ครอบจักรวาลแต่อย่างใด มิเช่นนั้นทุกคนที่ชำนาญเต๋าเพลาก็คงสามารถสอดแนมความลับของผู้แข็งแกร่งทุกคนได้แล้ว
มีเพียงหลัวซิวที่ยังสุขุมเรียบนิ่ง เห็นเพียงเขาค่อย ๆ หันหลังกลับมา ง้างมือปล่อยหมัดไปทางกระบี่เซียนที่ฟาดฟันเข้ามา
“เตี๊ยง!”
กระบี่เซียนและกำปั้นพุ่งชนเข้าด้วยกัน สะเก็ดไฟแตกกระเด็น มีเสียงร้องโอดครวญสะท้อนออกมาจากกระบี่เซียน จากนั้นก็กระเด็นออกไปเพราะแรงสั่นสะเทือน แสงสว่างที่เรืองรองบนกระบี่หม่นหมองลง
“ร่างเซียนศักดิ์สิทธิ์!”
“ร่างเนื้อฝืนต้านรับภัณฑ์เซียนแต่กลับไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”
“......”
เมื่อทุกคนเห็นกำปั้นที่สมบูรณ์ไร้ความเสียหายนั่นของหลัวซิว ล้วนก็ตะลึงงันไปอีกครั้ง
เกณฑ์เวลาของกึ่งเซียนคนหนึ่งบรรลุถึงระดับเซียนไม่ว่า ไม่นึกเลยว่าร่างเนื้อก็ชุบถึงระดับเซียนแล้วอย่างนั้นหรือ อนาคตทันทีที่คนประเภทนี้บรรลุเป็นเซียน ต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ไร้คู่ต่อสู้ในหมู่จอมยุทธ์แดนเดียวกัน แน่นอน ความสามารถในการเจริญเติบโตสูงส่งอย่างยิ่ง!
แม้แต่ผู้คุมการลู่เองก็ต้องมองหลัวซิวด้วยสายตาที่อึ้งทึ่งอย่างอดไม่ได้ อัจฉริยะเช่นนี้ขอแค่ไม่ดับสลายทั้งสิ้น อนาคตอย่างน้อยก็ต้องบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ต่ำกว่าเซียนชั้นฟ้า ยิ่งกว่านั้นคือหากสามารถเข้าร่วมหนึ่งกองกำลังใหญ่ อนาคตก็มีโอกาสบรรลุเป็นราชาเซียนด้วย
ทันทีที่รุกรานคนประเภทนี้ หากไม่ถอดรากถอนโคนตั้งแต่แรก อนาคตต้องกลายเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวแน่นอน และถ้าเกิดสามารถเป็นพันธมิตรกับฝ่ายตรงข้าม บางทีก็เท่ากับตีสนิทกับราชาเซียนในอนาคตตนหนึ่งล่วงหน้าแล้ว
หวางเต๋ออี้ตะลึงจนตาค้างไปแล้ว ไม่รอให้เขาตอบสนองกลับมาได้ ก็มีอาณาจักรที่แข็งแกร่งสยบแผ่คลุมร่างกายเขาเอาไว้ ผู้คุมการลู่ที่มีผลการฝึกตนเซียนดินลงมือแล้ว
“ปั้ง!”
เห็นเพียงผู้คุมการลู่ง้างมือปล่อยฝ่ามือหนึ่งออกไป หวางเต๋ออี้ก็ถูกโจมตีจนกระอักเลือดแล้วร่างกายกระเด็นออกไป เมื่ออยู่ภายใต้ประจักษ์พยานของผู้คนที่มากมายเช่นนี้ หากเขายังไม่ลงมือทำอะไรอีก เกรงว่าชื่อเสียงของหอเยียนเซียะคงจะถูกตาหมานี่ทำลายจนพังพินาศไปหมดแล้ว
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ย้อนเวลากลับไปถึงภาพฉากที่เขาทำธุรกรรมกับหวางเต๋ออี้ เริ่มตั้งแต่จุลหอคอยสีเงินที่เขาหยิบออกมา ตลอดจนหวางเต๋ออี้กำสมบัติเอาไว้ในมือแน่น ๆ และยิ่งเอ่ยปากข่มขู่ ภาพฉากที่ถูกบันทึกในเพลาฉางเหอไม่มีทางหลอกตาผู้คนได้ด้วยซ้ำ……
“มึงแพ้แล้ว เพราะฉะนั้นมึงไปตายได้ละ”
หลัวซิวกวาดตามองหวางเต๋ออี้ที่ใบหน้าขาวเผือกอย่างเย็นชารอบหนึ่ง แววตาที่เย็นชาดูหมิ่นนั่นไม่ต่างอะไรจากการมองมดตัวจ้อยตัวหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...