“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่? แล้วสตรีที่ใช้อำนาจลักพาตัวเจ้าไปเมื่อปีนั้นคือผู้ใดกันแน่?”หลัวซิวดูออกแล้วว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ
“นางชื่อตงฟางหยุนอี นางเป็นคนในภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ นางได้ร่ายตัวต้องห้ามประเภทหนึ่งไว้ในร่างกายเขา ทันทีที่พบท่าน ตัวต้องห้ามดังกล่าวก็จะบังคับให้ข้าลงมือโจมตีท่าน”
เหงื่อท่วมหน้าผากลู่เมิ่งเหยา ใบหน้าขาวซีด “ข้าทำได้เพียงพยายามระงับอย่างสุดกำลังสามารถ แต่ข้าระงับมันได้ไม่นาน ท่านรีบไปเถอะเจ้าค่ะ และอย่าได้ปรากฏในโลกเซียนอีก”
“เจ้าหมายความว่าสตรีนางนั้นต้องการจับกุมตัวข้าหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าพลั้งปากบอกว่าในอดีตชาติท่านชื่อไท่ซ่างฉิง ต่อมานางก็บอกกับข้าว่าท่านอาจจะเป็นทายาทคนสุดท้ายของเผ่าไท่ซ่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แล้ว นางให้ข้าจับกุมตัวท่าน ดังนั้นจึงร่ายตัวต้องห้ามไว้ในตัวหยั่งรู้ของข้า”
“นังสตรีชั้นต่ำนั่นสมควรตาย!”
หลัวซิวโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ครั้นอยู่ในโลกามนุษย์ หากไม่ใช่เพราะเขาลงมือช่วยเหลือ ตงฟางหยุนอีนั่นคงจะถูกพวกบรรพสวรรค์ฆ่าตายตั้งนานแล้ว
ต่อมาภายใต้การช่วยเหลือของเขา ผลการฝึกตนของตงฟางหยุนอีก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเก่า จากนั้นก็คืนคำเป็นศัตรูกับเขาทันที
ถ้าเกิดเมื่อปีนั้นนางรู้ว่าตนเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด คาดว่านางก็คงจะคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเขาเป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง ซึ่งอาจจะลงมือต่อเขาโดยตรงเลยก็เป็นได้
แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่านางใช้อำนาจลักพาตัวลู่เมิ่งเหยาไปไม่ว่า แต่ยังร่ายตัวต้องห้ามที่โหดร้ายเช่นนี้ลงไปในตัวหยั่งรู้ของนางอีก ต่อให้ฆ่าคนประเภทนี้ให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอ!
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวข้าจะทลายตัวต้องห้ามให้เจ้าเอง”
เงาร่างหลัวซิวกระพริบ แล้วปรากฏข้างกายลู่เมิ่งเหยาภายในพริบตา
“อย่า! อย่านะ! ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้……”
ลู่เมิ่งเหยาตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี เมื่อหลัวซิวปรากฏข้างกายนาง เมื่ออยู่ภายใต้ระยะห่างที่ใกล้กันขนาดนี้ นางไม่สามารถควบคุมต่อต้านตัวต้องห้ามได้ด้วยซ้ำ
“โครม!”
เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างของลู่เมิ่งเหยาเย็นเยือกลงไปภายในพริบตา ราวกับหลัวซิวที่กำลังยืนอยู่ข้างกายนางในวินาทีนี้ เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนาง
นางง้างมือฟาดฟันดาบลงมา ดวงแสงดาบที่แวววาวจับตาฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง
หลัวซิวไม่กล้าใช้ร่างเนื้อฝืนต้านรับ แต่เป็นการใช้ดาบหักเซียนต้านทาน จากนั้นก็มีตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมากลางกลางคิ้ว แล้วพุ่งเข้าไปในตัวหยั่งรู้ลู่เมิ่งเหยา
ภายในตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวมองเห็นญาณเทวที่นางผนึกรวมออกมา อีกทั้งญาณเทวของนางแปรเซียนเจ็ดส่วนแล้ว
แต่ทว่าตรงกลางหว่างคิ้วของญาณเทวของนางมีตราตัวต้องห้ามหนึ่งตรา ซึ่งกำลังควบคุมจิตสำนึกและพฤติกรรมของลู่เมิ่งเหยาอยู่
อดีตหลัวซิวเคยใช้ต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างทลายตัวต้องห้ามของเฉว่โยวหวูจี๋ ดังนั้นเขาก็วางแผนที่จะใช้วิธีการเดียวกันทลายตัวต้องห้ามที่กำลังควบคุมลู่เมิ่งเหยาเช่นกัน
ต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างคือวิชากลั่นวิญญาณเลิศล้ำ สามารถพูดได้เลยว่าเป็นวิชาที่ใช้ปราบปรามตัวต้องห้ามทั้งปวงที่มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพยายามทลายตัวต้องห้าม กลับพบว่าไม่สามารถทำให้ตัวต้องห้ามดังกล่าวสะทกสะท้านได้ด้วยซ้ำ
ครั้นเฉว่โยวหวูจี๋ร่ายตัวสำนึกเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของเหล่ามกุฎเต๋าประมุขเต๋า อย่างไรเสียตัวเฉว่โยวหวูจี๋ก็เป็นเพียงระดับกึ่งเซียน ส่วนนางตงฟางหยุนอีนั่นกลับอยู่ในแดนเซียนตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือผลการฝึกตนของนางอาจจะฟื้นฟูกลับมาเป็นเซียนชั้นฟ้าโดยสมบูรณ์แล้วก็เป็นได้
ตัวต้องห้ามของเซียนชั้นฟ้าตนหนึ่ง ไม่ว่าต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ตาม ทว่าจากผลการฝึกตนในปัจจุบันของหลัวซิว ก็ไม่สามารถทลายได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ต้องรอให้เขาบรรลุมรรคผลกลายเซียนก่อน หรืออาจต้องบรรลุถึงแดนเซียนดินก่อนถึงจะสามารถทำได้
จู่ ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของญาณเทวของลู่เมิ่งเหยาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ตาข้างซ้ายกลายเป็นสีทอง ส่วนตาข้างขวากลายเป็นสีดำ
“เจ้าเองหรือ? ไม่นึกเลยว่านี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่พันปีเอง เจ้าจะมาถึงโลกเซียนแล้วอย่างนั้นหรือ”
หลัวซิวสามารถยืนยันได้เลยว่านี่ไม่ใช่เสียงของลู่เมิ่งเหยา แต่เป็นเสียงของสตรีผู้มีนามว่าตงฟางหยุนอีนั่น!
ภายในตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยา ตัวสำนึกของหลัวซิวผันเป็นรูปร่างลักษณะของตัวเขาเอง แล้วเพ่งมองฝ่ายตรงข้าม
“เจ้าคิดที่จะทำอะไรกันแน่? อย่าลืมนะว่าเมื่อปีนั้นข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้!”หลัวซิวซักถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ตัวสำนึกของหลัวซิวถูกพลังออร่าที่แข็งแกร่งนี้บีบคั้นจนทำได้เพียงถอยออกมาจากตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยาก่อน เขารู้อยู่ว่าจิตสำนึกของตงฟางหยุนอีได้จุติลงมาในร่างกายลู่เมิ่งเหยาแล้ว
ดาบหักเซียนถูกหลัวซิวเก็บกลับเข้าที่ เขาไม่อยากทำร้ายลู่เมิ่งเหยา แต่ก็ไม่สามารถทลายตัวต้องห้ามที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของนางได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะถอยกลับ
เข็มทิศสาส์นเต๋าปรากฏใต้เท้า ผันเป็นลำแสงดวงหนึ่ง พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก”
น้ำเสียงที่เย็นเยือกของตงฟางหยุนอีค่อย ๆ สะท้อนมา ดวงแสงดาบที่แวววาวจับตาดวงหนึ่งทลายสุญญากาศ เฉือนสับไปทางแสงกลของหลัวซิว
“ตู้มม!”
หลัวซิวทลายดวงแสงดาบในหมัดเดียว สีหน้าอารมณ์เย็นเยือกแล้วพูด: “ตงฟางหยุนอี เจ้าจะต้องรู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้!”
“เหอะ ๆ น่าขำชะมัด ทายาทคนหนึ่งของเผ่าไท่ซ่างที่เสื่อมทรุดไปตั้งนานแล้วก็บังอาจข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”ตงฟางหยุนอีไม่เก็บมาใส่ใจ
เรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกัน ซึ่งเป็นเหมือนคำพูดที่ตงฟางหยุนอีเคยพูดขณะใช้อำนาจลักพาตัวลู่เมิ่งเหยาไป ในโลกใบนี้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์มีเสียง ผู้แข็งแกร่งสามารถยึดกุมชะตาชีวิตของผู้อ่อนแอ
เช่นนั้นอนาคต เขาก็จะใช้หลักการเดียวกันบอกกับตงฟางหยุนอีว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ชะตาชีวิตของเจ้าก็จะถูกยึดกุมอยู่ในกำมือข้าเช่นกัน!
โครม!
ความเร็วของเข็มทิศสาส์นเต๋าถูกหลัวซิวกระตุ้นถึงขีดสุด บางทีถ้าเกิดตงฟางหยุนอีย่างกรายมาด้วยตนเองก็อาจจะไล่ตามเขาทันอยู่ ทว่าจากร่างแดนกึ่งเซียนของลู่เมิ่งเหยา นางไม่มีทางไล่ตามความเร็วของเข็มทิศสาส์นเต๋าทันด้วยซ้ำ
ในโลกเซียน สามารถพบเห็นป่าไม้โบราณได้ทั่วทุกแห่งหนเลย หลัวซิวมีวิชาไร้รูป หลังจากเขาหนีตงฟางหยุนอีสำเร็จ ก็ทำการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่า แล้วเข้าไปในป่าไม้โบราณที่กว้างใหญ่ไพศาล
ใต้หล้านั้นกว้างใหญ่ นอกเสียจากมีผู้แข็งแกร่งออกสำรวจฟ้าดิน มิเช่นนั้นหากเขาต้องการอำพรางตัว ก็แทบจะไม่มีคนใดสามารถพบตัวเขาได้อย่างง่ายดาย
ครั้งนี้หลัวซิวได้รับกรองแก้วเซียนจากหอเยียนเซียะแห่งเมืองหยุนม่านไม่น้อยเลย ทั้งยังได้รับแก่นสารไฟลายเมฆีและเตายาระดับภัณฑ์เซียนอีก รู้สึกว่าถึงเวลาทลายจุดตีบตันแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...