สลักลายค่าย กระแสสัมผัสตัดขาดจากโลกาภายนอก ซ่อนเร้นอยู่ในป่าไม้โบราณ
เมื่ออยู่ในโลกเซียน หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพ ณ ปัจจุบันของตัวเองยังอ่อนมาก มีเพียงบรรลุเป็นเซียน เขาถึงจะถือว่ามีต้นทุนพื้นฐานในการยืนหยัดอยู่ในโลกเซียน
ภายในถ้ำที่ธรรมดาเรียบง่ายแห่งหนึ่ง หลัวซิวยกมือโบกครั้งหนึ่ง ต้นโอสถเซียนจำนวนมากก็บินออกมา แล้ววางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบตามชนิดต่าง ๆ
“ตงฟางหยุนอี ภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้ข้าจดจำไว้แล้ว!”
มีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมกระพริบผ่านไปในแววตาหลัวซิว เขาเข้าใจดีมากว่าตนยังไม่มีต้นทุนที่จะต่อกรกับภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะซ่อนเร้น แล้วยกระดับผลการฝึกตน
เทพธิดาหยู่โม่เคยให้ม้วนหยกเขาหนึ่งชิ้น ซึ่งภายในมีการบอกเล่าถึงความรู้ทั่วไปในโลกเซียน ซึ่งในความรู้ทั้งหมดก็ได้กล่าวถึงเช่นกันว่าภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์คือสถานบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ และเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นหนึ่งในหกเผ่าแห่งลูกดึกดำบรรพ์เช่นกัน
หกเผ่าในยุคบรรพกาล ไท่ซ่างถูกจัดเป็นอันดับหนึ่ง ในยุคบรรพกาลเป็นยุคสมัยของเผ่าไท่ซ่าง และเป็นยุคสมัยของจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างเช่นกัน
ส่วนเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นเจ้าแห่งวงการในยุคโบราณก่อน ซึ่งมีจักรพรรดิเซียนภูตศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งอุบัติขึ้นมา แล้วกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า!
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลัวซิวระงับสภาพจิตใจที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหยิบแก่นสารไฟลายเมฆีชั้นยอดชิ้นนั้นออกมาเป็นอันดับแรก
“เวิ่ง!”
มีเพลิงอัคคีไร้สีจนเสมือนไร้รูปดวงหนึ่งบินออกมาจากร่างกายหลัวซิว เพลิงอัคคีลุกโชนครั้งหนึ่ง ก็ทำการม้วนเก็บแก่นสารไฟลายเมฆีไปแล้ว
เพียงพริบตาเดียว อัคคีไร้ลักษณ์ก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง พละแก่นสารไฟทั้งหลายค่อย ๆ ถูกอัคคีไร้ลักษณ์ดูดกลืนกลั่นแปร ทำให้หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าอัคคีไร้ลักษณ์กำลังวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
ปริมาตรของแก่นสารไฟลายเมฆีหดเล็กลงอย่างไม่หยุดหย่อน หลังจากพละแก่นสารไฟทั้งหมดถูกกลั่นแปรแล้ว ก็เหลือแค่เพียงเศษซากชิ้นส่วนร่วงตกลงบนพื้น
มีแสงเซียนแย้มบานออกมาจากอัคคีไร้ลักษณ์ หลังจากแสงเซียนปรากฏ มันก็หายวับไป เพลิงอัคคีกลับไปอยู่ในสภาพไร้รูปอีกครั้ง ซึ่งตัวสำนึกและเนื้อตาเปล่ามองเห็นได้ยากมาก มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่สามารถสัมผัสการคงอยู่ของมันได้อย่างชัดเจน
อัคคีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการเป็นเซียนอัคคีไร้ลักษณ์ จึงมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ก่อนที่เขาจะพลิกมือหยิบเตายาที่เพิ่งซื้อได้ออกมา
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปีแล้ว ส่วนหลัวซิวที่อยู่ในสีมาเพลากลับใช้เวลาไปหนึ่งพันกว่าปีแล้ว
เขากลั่นโอสถเซียนได้เยอะมาก ในจำนวนโอสถทั้งหมด ส่วนมากจะเป็นโอสถเซียนที่ใช้เพื่อยกระดับผลการฝึกตนอย่างโอสถเซียนอวิ้นหยาง
อย่างไรก็ตามจากการที่เขากินโอสถชนิดหนึ่งยิ่งมาก ร่างกายเขาจึงค่อย ๆ เกิดการดื้อยา ทำให้สามารถดูดซับฤทธิ์ยาได้แค่สามในสิบ
กระทั่งต่อมา หลัวซิวก็กินโอสถเซียนอวิ้นหยางจนไม่เกิดประสิทธิผลใด ๆ อีกต่อไปแล้ว หากกินต่อก็มีแต่จะสิ้นเปลืองเปล่า ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับระดับความยากในการยกระดับผลการฝึกตน ญาณเทวของหลัวซิวแปรเซียนถึงสิบส่วนแล้ว ญาณเทวกลายเป็นภูตเซียน ทำให้มีแสงเซียนแย้มบานแล้วส่องสว่างไปทั่วตัวหยั่งรู้
ตบะมาเป็นพันปี ในที่สุดผลการฝึกตนของหลัวซิวก็กลายเป็นจิตเซียนเก้าส่วนแล้ว เหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถบรรลุเป็นเซียนแล้ว
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาพยายามลองทลายจุดตีบตัน ล้วนจะสัมผัสได้ถึงแรงต้านทานที่ยิ่งใหญ่ ประตูแห่งกฎเกณฑ์ของวิถีเซียนหนักแน่นอย่างยิ่ง เขาถึงขั้นทลายติดต่อกันห้าครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทลายได้สำเร็จ
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่หลัวซิวเจอจุดตีบตัน เขาก็จะทลายมันอย่างกล้าหาญเสมอ ซึ่งไม่เคยมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“หรือจะเป็นเพราะร่างศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ไท่ซ่างของข้าแข็งแกร่งมากเกินไป?”
หลัวซิวขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เขายังไม่บรรลุสู่แดนเซียน ทว่าเนื่องจากฝึกร่างศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ไท่ซ่าง ร่างเนื้อของเขากลับก้าวเข้าสู่ระดับเซียนแล้ว ซึ่งมีร่างเนื้อที่เทียบทัดร่างเซียนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อร่างกายยิ่งแข็งแรง ก็หมายความว่ารากฐานยิ่งลึกซึ้ง เช่นนั้นเมื่อการทลายผลการฝึกตนเจอจุดตีบตัน ประตูแห่งกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
สำหรับผู้อื่นแล้ว แรงต้านทานประเภทนี้แทบจะทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังเลยทีเดียว แต่หลัวซิวกลับไม่รู้สึกแบบนั้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับอยากให้ประตูแห่งกฎเกณฑ์ของตัวเองแข็งแรงมากกว่านี้ เช่นนั้นขอแค่เขาสามารถบรรลุ ศักยภาพก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
“การกลายเซียนเป็นการกระโดดของระดับชีวิต ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไปแปรเปลี่ยนเป็นเทพมาร”
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้ทำให้หลัวซิวท้อถอยแต่อย่างใด เนื่องจากเขาเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางถูกพันธนาการอยู่ในขั้นนี้ เขาต้องสามารถบรรลุเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน
ทุกอย่างดำเนินการไปตามนี้ เวลาล่วงเลยไปอีกห้าปี หลัวซิวสามารถกลั่นโอสถเซียนระดับดินออกมาได้แล้ว มากไปกว่านั้นคือยังสามารถกลั่นโอสถเซียนระดับดินชั้นยอดออกมาได้ด้วย
“โครม!”
ระยะเวลา 15 ปีในโลกาภายนอกเท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยปีในสีมาเพลา การสั่งสมและตกตะกอนที่ยาวนานปะทุอย่างรุนแรง ทำให้มีพลังออร่าที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูไปทั้งป่าไม้โบราณ
ภายในถ้ำอันเรียบง่ายที่มีลายค่ายสลักอยู่ ปริภูมิสั่นสะเทือน มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งตลบฟุ้งออกมาจากร่างกายหลัวซิว ทั้งยังมีแสงเซียนแย้มยานออกมาจากตัวเขาด้วย ราวกับกระบี่แห่งรัศมีเทว ราวกับเพลิงอัคคีวิถีเซียน
“ตู้มม!”
มีฝ่าเท้าขนาดใหญ่ปรากฏกลางนภา ฝ่าเท้าดังกล่าวย่ำเมฆทัณฑ์จนแหลกสลายอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นคือฝ่าเท้าดังกล่าวยังย่ำภูเขาแม่น้ำที่ไร้ขอบเขตอย่างรุนแรงโดยที่พลานุภาพไม่ลดลงด้วย!
จากเทพมารก้าวกระโดดสู่เซียน การแปรเปลี่ยนและยกระดับของระดับชีวิตทำให้หลัวซิวสัมผัสพลังอันแข็งแกร่งได้อย่างลึกซึ้ง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆทัณฑ์ก็ถูกเขาโจมตีจนสลายหายไป ต่อมาเขาก็ผันเป็นแสงกลรุ้งยาวดวงหนึ่ง ล่องลอยอยู่ในฟ้าดิน เร่ร่อนพเนจรอยู่บนท้องฟ้า เสมือนดวงดาวที่แวววาวจับตาดวงหน่ึง เคลื่อนทะลุผ่านดาราจักรวาล
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านด้วยขอรับ กลายเซียนในรวดเดียว อนาคตมีหวังบรรลุมรรคผลสูงนะขอรับ!”
หลังจากหลัวซิวยืนอยู่บนมหาสมุทรที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ภูตติ่งปีศาจมังกรที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ก็พูดอย่างประจบนอบน้อม
หลัวซิวรู้สึกว่าจักรพรรดิเซียนจิ่วโยวในอดีตน่าจะเหงาเกินไป ดังนั้นถึงได้กลั่นภูตเซียนของปีศาจมังกรให้กลายเป็นภูตติ่ง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อยากหาคนพูดคุยเท่านั้นแหละ
“เวิ่ง!”
ภูตติ่งปีศาจมังกรอ้าปาก ดาบหักเซียนจึงสั่นเทิ้มครั้งหนึ่ง ก่อนที่ปลายดาบจะชี้ไปทางมัน
ดาบหักเซียนไม่ได้ไร้จิตดาบแต่อย่างใด เมื่อปีนั้นภูตแห่งดาบที่พยายามจะครองวิญญาณหลัวซิวน่าจะเป็นจิตเศษของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ถูกดาบหักเซียนสังหาร
น่าเสียดายที่เจ้าหมอนั่นดวงซวยไปหน่อย บังเอิญเจอกับเขาที่ปลุกตื่นวิญญาณแห่งไท่ซ่างพอดี ถูกปณิธานอันแข็งแกร่งในการถ่ายทอดสืบสานไท่ซ่างบดขยี้คาที่ ดับสลายสูญสิ้น
ภายในดาบไม่มีจิตภัณฑ์ ทว่าดาบเล่มนี้กลับมีธาตุทิพย์ ซึ่งดูว่าผู้ใดเป็นเจ้านายมัน
อันที่จริงผู้แข็งแกร่งส่วนมากสามารถทำให้ภัณฑ์เซียนหล่อเลี้ยงจิตภัณฑ์ออกมาได้อยู่ แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างคิดว่าการจะมีจิตภัณฑ์หรือไม่มีมันไม่สำคัญ และในความเป็นจริงจิตภัณฑ์บางดวงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าของภัณฑ์เซียนจะดับสลายสูญสิ้นไปนานมากแล้ว จิตภัณฑ์และภัณฑ์เซียนหลอมรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งสามารถปลดปล่อยอานุภาพเซียนที่ไร้ขอบเขตออกมาได้อยู่เช่นเคย
“เจ้าเข้าใจแดนต้องห้ามกระดูกฝังดีเท่าไหร่?”หลัวซิวถามภูตติ่งปีศาจมังกร
“แดนต้องห้ามกระดูกฝัง? ท่านไปทำอะไรในสถานที่ผี ๆ นั่นหรือ?”
ภูตติ่งปีศาจมังกรตกใจจนสะดุ้ง จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่สิ ท่านเป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง บางทีอาจมีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถไขความลับของแดนต้องห้ามกระดูกฝัง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...