ในแดนต้องห้ามกระดูกฝังมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
ภูตติ่งปีศาจมังกรก็ไม่ทราบเช่นกัน มาตรแม้นว่าเป็นจักรพรรดิเซียนจิ่วโยวในยุคโบราณหลังก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน ราวกับแดนต้องห้ามที่มีชี่มรณะตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศนั่นจะเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเซียนยังไม่อยากย่างกรายเข้าไปง่าย ๆ
อย่างไรก็ตามครั้งนี้หลัวซิวกลับจะเดินทางไปแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ซึ่งไม่ได้ไปเพื่อแสวงหาความลับในแดนต้องห้าม แต่อยากตามหาสะพานทะยานเซียนที่เคยถูกทำลาย
สะพานทะยานเซียนคือค่ายกลระดับเซียน และปัจจุบันเขาก็บรรลุถึงแดนเซียนแล้ว เขาจะไปปิดผนึกทางเข้าตรงจุดวาร์ป เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่มาจากโลกามนุษย์พลาดท่าเข้าไปในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง แล้วต้องทิ้งชีวิตอยู่ในนั้นโดยเสียเปล่า
ใช้ไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่า หลัวซิวมาถึงเมืองวั่งกู่อีกครั้ง เขานั่งอยู่บนตำแหน่งริมหน้าต่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง สั่งเหล้ามาหนึ่งกาพลางดื่มอย่างไม่รีบไม่ร้อน พร้อมกับฟังบทสนทนาของลูกค้าคนอื่น ๆ ในภัตตาคาร
“ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มีผู้แข็งแกร่งตายอยู่ในโบราณสถานปีศาจมังกรเยอะมาก แต่ภาชนะติ่งปีศาจมังกรนั่นดูเหมือนจะหายไปแล้ว ซึ่งไม่มีคนใดพบเจอเลย”
“เล่ากันว่าภาชนะติ่งปีศาจมังกรมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเทพในยุคโบราณหลัง กองกำลังใหญ่จำนวนมากล้วนตื่นตระหนกตกใจอย่างยิ่ง แทบจะขุดโบราณสถานนั่นลึกเป็นสามฟุตเลย”
“แม้แต่ราชาเซียนในประเทศเซียนฉื้อหมิงของเรายังดับสลายสูญสิ้นเลย ได้ยินมาว่าเนื่องจากการเข่นฆ่าในโบราณสถานปีศาจมังกร ทำให้สูญเสียราชาเซียนไปไม่ต่ำกว่าสิบตนแล้ว”
“......”
หลัวซิวได้ยินบทสนทนาในทำนองนี้เยอะมาก จึงรู้สึกตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยไปนานหลายปีแล้ว เขาถึงขั้นบรรลุมรรคผลกลายเซียน แต่ความวุ่นวายฝั่งโบราณสถานปีศาจมังกรกลับยังไม่สงบลงอีกอย่างนั้นหรือ
“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ฝั่งประเทศเซียนฉื้อหมิงไม่สงบเลยนะ ในภูมิภาคสิบลี้ของโลกเซียนที่กว้างใหญ่ไพศาล ประเทศเซียนฉื้อหมิงของเราก็เป็นเพียงเมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งในมหานที ไม่โดดเด่นอะไรด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะสามารถดึงดูดให้เหล่าผู้แข็งแกร่งมารวมตัวกันที่นี่ได้”
“โอ๊ะ? สหายพรตหมายถึงแดนต้องห้ามกระดูกฝังหรือ?”
“ถูกต้อง เนื่องจากไม่พบภาชนะติ่งปีศาจมังกรตลอดมา แต่กลับมีข่าวลือบอกว่ามีคนสามารถรอดชีวิตออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝัง จึงทำให้บางกองกำลังใหญ่คิดไม่ซื่อ”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ดูเหมือนช่วงนี้จะมีคนรอดชีวิตออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังอย่างต่อเนื่องเลย เรื่องนี้มันลี้ลับอาถรรพ์เกินไปแล้วกระมัง?”
“นั่นน่ะสิ ข้าก็รู้สึกเหลือเชื่อมากเช่นกัน เล่ากันว่าแดนต้องห้ามกระดูกฝังบังเกิดในยุคโบราณก่อน จวบจนปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานจำนวนมากต่างพยายามสืบเสาะความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมาได้เลย ทว่าปัจจุบันกลับมีคนรอดชีวิตออกมาติดต่อกัน บางทีความลับในแดนต้องห้ามกระดูกฝังอาจจะถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนแล้ว”
หลัวซิวที่ได้ยินเช่นนี้ขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ เขากำลังวางแผนจะกลับไปที่แดนต้องห้ามกระดูกฝังพอดี แต่กลับมีกองกำลังใหญ่หมายตาแดนต้องห้ามแห่งนั้นเอาไว้ นี่จึงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาอยู่แล้ว
เมืองวั่งกู่เป็นคูเมืองที่อยู่ใกล้แดนต้องห้ามกระดูกฝังมากที่สุด ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งย่างกรายมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เจ้าเมืองที่มีผลการฝึกตนเป็นเซียนชั้นฟ้าต้องออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ลักษณะท่าทีดูต่ำต้อยมาก
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งเดือนกว่า ฝั่งแดนต้องห้ามกระดูกฝังไม่มีลาดเลาอะไรตลอดมา ทว่าหลัวซิวกลับมองเห็นผู้คนที่คาดไม่ถึงในเมืองวั่งกู่
พี่น้องร่วมสาบานฉินจ้านและตู๋กูทั้งสองคนก็มาถึงเมืองวั่งกู่แล้ว เมื่อหลัวซิวเห็นพวกเขา จึงใช้ไข่มุกสื่อสารสื่อสารกับพวกเขา
และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวยิ่งรู้สึกคาดไม่ถึงคือเขาก็มองเห็นหลินเทียนและเทพธิดาหยุนเซวียนเช่นกัน
“ในแดนต้องห้ามกระดูกฝังอันตรายอย่างยิ่ง เมื่อปีนั้นสาเหตุที่ข้าสามารถพาเฮียและพี่รองมีชีวิตรอดออกมาได้นั้น ล้วนเป็นเพราะอาศัยมังกรกระดูกหมื่นเมตรนั่น ช่างคาดเดาไม่ได้จริง ๆ ว่าพวกเขาทั้งสองคนมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างไร”
หลัวซิวรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย เขาไม่ค่อยอะไรกับหลินเทียน ก่อนหน้านี้ยังเป็นห่วงเทพธิดาหยุนเซวียนอยู่เลย วินาทีนี้เมื่อเห็นนางอยู่เย็นเป็นสุข จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะมาก
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ภายในห้องที่นั่งพิเศษของภัตตาคารแห่งหนึ่ง หลัวซิวมาพบฉินจ้านและตู๋กู
“น้องสาม!”
“เฮีย พี่รอง!”
พี่น้องทั้งสามพบหน้ากัน ฉินจ้านและผลการฝึกตนรู้สึกตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย อย่างไรเสียครั้นหลัวซิวหนีออกไปจากเมืองวั่งกู่ พวกเขาทั้งสองที่เป็นพี่ชายกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย
“สำนักเซียนเก้ากระบี่ถูกล้มล้างไปแล้ว น้องสามต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าพวกมันจะไล่ล่าเจ้า”หลังจากนั่งลง ตู๋กูก็พูดข่าวคราวนี้ออกมา
สงครามแห่งโบราณสถานปีศาจมังกรยิ่งอยู่ยิ่งเลวร้าย ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายยังคงตามหาเบาะแสของภาชนะติ่งปีศาจมังกรอยู่ และในฐานะที่สำนักเซียนเก้ากระบี่เป็นกองกำลังแรกที่ค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ จึงต้องถูกผู้แข็งแกร่งจำนวนมากหมายตาไว้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
ในโลกเซียนที่กว้างใหญ่ไพศาล สำนักเซียนเก้ากระบี่ก็เป็นเพียงกองกำลังเล็ก ๆ ปานมดตัวจ้อยเท่านั้นแหละ มีผู้มีอำนาจดูดกลั่นวิญญาณแต่กลับไม่พบข่าวคราวใด ๆ ที่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงทำการล้มล้างสำนักเซียนเก้ากระบี่ในฝ่ามือเดียว
ตั้งแต่เจ้าสำนักเซียนชั้นฟ้า ตลอดจนเซียนผู้คุมกฎ ไม่มีตนใดมีชีวิตรอดต่อไปได้เลยแม้แต่ตนเดียว!
ข่าวคราวแพร่งพรายออกไปในเมืองวั่งกู่อย่างรวดเร็ว จำนวนคนที่นับไม่ถ้วนต่างพากันเคลื่อนตัวหลายทราบข่าว วินาทีนี้มีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนจากกองกำลังใหญ่ทั้งสองมารวมตัวกันบริเวณรอบนอกของแดนต้องห้ามกระดูกฝังแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงแดนศักดิ์สิทธิ๋มังกรเซียนมากอยู่แล้ว เพราะนั่นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรเซียน มังกรเซียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด พอจะพูดได้เลยว่าเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเซียน
พลังออร่าของเหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามังกรเซียนทรงพลังมาก บ้างก็ผันร่างอยู่ในร่างมนุษย์ บ้างก็อยู่ในร่างมังกร อำนาจมังกรที่มากมายมหาศาลปกคลุมฟ้าดิน
เหนือนภาผู้แข็งแกร่งเผ่ามังกรเซียนจำนวนมาก มีมังกรเซียนเก้าเศียรที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งกำลังโอบล้อมวิหารโบราณหลังหนึ่ง
“วิหารมังกรเทวะ! ตำนานเล่ากันว่ามีเพียงผู้อาวุโสในเผ่ามังกรเซียนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปด้านใน”
“ผู้อาวุโสของเผ่ามังกรเซียนเชียวนะ ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือราชาเซียนแน่นอน ก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นกษัตริย์เซียนหรือประมุขเซียน?”
จำนวนคนอันนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกไปจากเมืองวั่งกู่กำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ ต่างแสดงสีหน้าตะลึงงัน กษัตริย์เซียนยึดกุมหนึ่งราชวงศ์เซียน ประมุขเซียนยึดกุมหนึ่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เผ่ามังกรเซียนเป็นกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสก็เป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่ต่ำกว่ากษัตริย์เซียนระดับหนึ่งแน่นอน
ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะมีเรือรบสีดำล้วนหลายลำบดขยี้อนัตตา ปรากฏด้วยท่าทีที่เอิกเกริกยิ่งใหญ่
“นั่นมันเรือรบของแดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโยวนี่ ตำนานเล่ากันว่าชนชั้นตระกูลจิ่วโยวก็เป็นหนึ่งในหกเผ่าแห่งยุคบรรพกาลเช่นกัน!”
กลุ่มคนอุทานอย่างตะลึงอีกครั้ง คนจำนวนไม่น้อยต่างทราบข่าวกันแล้วว่ามีกองกำลังใหญ่จะมาสำรวจแดนต้องห้ามกระดูกฝัง แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์สองกองกำลัง
“ออกเดินทาง!”
“เคลื่อนพล!”
จากการที่มีเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีดังขึ้น กำลังคนจากเผ่าพันธุ์มังกรเซียนและแดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโยวก็เริ่มเคลื่อนพล เข้าสู่แดนต้องห้ามกระดูกฝัง
ณ เสี้ยววินาทีที่เข้าไปในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ก็มีออร่าเงียบสงัดที่น่าสยดสยองแผ่คลุมทุกคนเอาไว้ทันที แรงกดอัดที่มากมายมหาศาลมีต้นกำเนิดมาจากท้องฟ้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยพยับเมฆ เหล่ามังกรเซียนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าต่างพากันร่วงลงพื้น ผันเป็นร่างมนุษย์ พวกเรือรบจากแดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโยวก็พากันลงจอดเช่นกัน ถูกผู้แข็งแกร่งเก็บเข้าที่ ทุกคนล้วนก้าวไปข้างหน้าด้วยการเดิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...