มีคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองคอยนำทางอยู่ด้านหน้า คนจำนวนไม่น้อยก็ต่างพากันเข้ามาในแดนต้องห้ามเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร แต่อย่างน้อยก็ได้เปิดหูเปิดตาอยู่ อนาคตหากไปพูดกับผู้อื่นว่าตนเคยเข้ามาฝ่าฟันในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง มันก็เป็นเรื่องที่เลิศหรูประเสริฐศรีมากเช่นกัน
หลัวซิวก็ผสมปนเปอยู่ในหมู่คนเช่นกัน ในส่วนของฉินจ้านและตู๋กู ทั้งคู่ยังรู้สึกหวาดกลัวแดนต้องห้ามกระดูกฝังอยู่ จึงวางแผนที่จะออกจากเมืองวั่งกู่ ต่างคนต่างไปแสวงหาวิถีเซียนของตัวเอง
“น้องสาม ไม่นึกเลยนะว่าเจ้าจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว ดูท่าข้าที่เป็นพี่ใหญ่ก็ต้องพยายามหน่อยแล้วล่ะ”
“นั่นน่ะสิ ข้าที่เป็นพี่รองไม่ใช่แม้กระทั่งกึ่งเซียน ตกลงเจ้าทำอย่างไรกันแน่ถึงฝึกตนให้รวดเร็วเช่นนี้?”
ฉินจ้านและตู๋กูต่างรู้สึกกลุ้มใจมาก อนาคตพวกเขาไม่อยากรอให้หลัวซิวกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโลกเซียนแล้ว แต่พวกเขากลับยังคงดิ้นรนวนเวียนอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดอยู่
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเข้าร่วมการสำรวจแดนต้องห้ามกระดูกฝังในครั้งนี้ แค่อยากตามหาสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเองให้เร็วที่สุด แล้วยกระดับผลการฝึกตน บรรลุเป็นเซียน
หลัวซิวนำโอสถเซียนอวิ้นหยางและโอสถประทับเซียนให้พวกเขาส่วนหนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้เฮียและพี่รองบรรลุเป็นเซียนล่วงหน้าเลยนะขอรับ!”
“โอสถเซียน?”
ฉินจ้านอละตู๋กูต่างเบิกตากว้าง แม้แต่กรองแก้วเซียนพวกเขาทั้งสองคนยังหามาได้ยากเลย แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะมีโอสถเซียนแล้ว
“ไม่ได้ ของเหล่านี้ล้ำค่ามากเกินไป เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ”ฉินจ้านสายหน้าปฏิเสธ
“ใช่ ขอแค่ข้าและเฮียสามารถตามหาราชวงศ์สำนักที่เหมาะสมกับตัวเองเจอ น่าจะไม่ขาดแคลนโอสถเซียนที่ใช้ในการเพ็ญตน”ตู๋กูก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน
พวกเขาต้องอยากได้โอสถเซียนอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ทราบเช่นกันว่าโอสถเซียนก็มีประโยชน์ต่อหลัวซิวมากเช่นกัน
หลัวซิวก็ทราบเจตนารมณ์ของพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองเช่นกัน จึงยิ้มพลางพูดว่า: “ท่านพี่ทั้งสองอาจจะยังไม่ทราบ ปัจจุบันข้าเป็นนักโอสถเซียนแล้ว หากต้องการโอสถเซียน ข้าสามารถกลั่นเองได้อยู่ พวกท่านรับไว้เถอะขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินจ้านและตู๋กูก็นิ่งเงียบไปนานมาก พวกเขาไม่ใช่คนโง่เง่าในโลกเซียนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกต่อไปแล้ว ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่านักโอสถเซียนมีความหมายและคุณค่าอย่างไร
เมื่อทราบประสบการณ์ของหลัวซิว พวกเขาจึงรับโอสถเซียนมา ก่อนจะโบกมือล่ำลา วิถีเซียนของทุกคนล้วนแตกต่างกัน พวกเขาไม่มีวันอยู่เคียงข้างกันตลอดไป แม้นจะประคองสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่อย่างน้อยศักยภาพก็ต้องไล่เลี่ยกัน ซึ่งพวกเขาเข้าใจดีมากว่าตัวเองแตกต่างจากหลัวซิวมากเกินไป
……
ร่ำลากับพี่น้องร่วมสาบานทั้งสอง กำลังคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองได้เข้าไปในแดนต้องห้ามกระดูกฝังแล้ว ผู้บำเพ็ญตนอิสระจำนวนมากก็ตามหลังเข้าไปเช่นกัน
“อ๊ากก! ……”
จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาสะท้อนออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝัง หลังจากหลัวซิวเข้าไปในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ก็มองเห็นม่านฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก
“รีบหนี! มีฝูงแมลงซื่อเซียน!”
“พระเจ้า นั่นมันแมลงซื่อเซียนสีม่วงนี่ พวกมันสามารถดูดกลืนเซียนได้อย่างง่ายดายเชียวนะ แม้แต่ราชาเซียนก็ทำได้เพียงหนีหัวซุกหัวซุน”
“กำลังคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองบาดเจ็บและล้มตายกันร้ายแรงมาก ดูเหมือนจะมีบุคคลที่มีชื่อเสียงรอดชีวิตเพียงสองท่านเท่านั้น”
หลัวซิวยืนอยู่บนชายแดนแดนต้องห้ามกระดูกฝัง เขานึกไม่ถึงเลยว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองจะเปราะบางเช่นนี้ แค่สำรวจในเขตชายแดนก็แหลกสลายตายทั้งกองทัพแล้ว
“โครม!”
วิหารโบราณหลังหนึ่งลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยแล้วพุ่งตรงไป เนื่องจากไม่สามารถโบยบินในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ซึ่งนี่เป็นความรู้ที่ทุกคนแทบจะรู้กันหมดเลย
“นั่นคือวิหารมังกรเทวะของผู้อาวุโสแห่งเผ่ามังกรเซียน!”
“ทุกคนรีบหนี!”
มีคนเห็นว่ามีม่านฟ้าสีม่วงที่ผันมาจากฝูงแมลงซื่อเซียนไล่ตามมาอยู่หลังวิหารมังกรเทวะ ทำให้ผู้คนที่ตามอยู่หลังกองกำลังใหญ่ทั้งสองตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง
และมีคนบางส่วนที่ลนจนบินทะยานขึ้นสู่ฟ้า แต่ทันทีที่บินลอยขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกชี่มรณะสีเทาปกคลุม ก่อนจะกลายเป็นหมอกเลือด ดับสลายสูญสิ้นไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
หลัวซิวก็เลือกที่จะหันหลังแล้วหลบหนีอย่างไม่ลังเลใจเช่นกัน แค่บริเวณรอบนอกของแดนต้องห้ามกระดูกฝังก็น่ากลัวขนาดนี้แล้ว นี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อปีนั้นการที่ตัวเองสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้นั้น มันเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ๆ
“ตู้มม!”
ทันใดนั้น ก็มียักษ์กระดูกขาวตนหนึ่งปรากฏ ยักษ์ดังกล่าวสูงสามพันกว่าเมตร เท้าที่ย่ำลงมาสามารถพังทลายทุกสรรพสิ่ง แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน ชี่มรณะพรั่งพรู ก่อนที่แมลงซื่อเซียนที่นับไม่ถ้วนจะร่วงหล่นลงพื้น แล้วระเบิดแตกเป็นฝุ่นผง
“แย่แล้ว ผู้แข็งแกร่งเผ่าตรีภพที่กลายเป็นญาณมรณะ!”
“ร่างสูงสามพันกว่าเมตร ธรรมลักษณ์ฟ้าดินสำเร็จน้อย ครั้นยังมีชีวิตมันต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ต่ำกว่าประมุขเซียนแน่นอน! และอาจเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียนสูงสุดก็เป็นได้!”
เสียงตู้มดังลั่นขึ้น มือใหญ่กระดูกขาวข้างหนึ่งที่ดุร้ายน่ากลัวร่วงลงมา ทำให้วิหารมังกรเทวะที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสมังกรเซียนถูกตบจนแตกสลายเป็นฝุ่นผง
ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีทอง ใบหน้าดูน่าเกรงขามเดินออกมาจากวิหารมังกรเทวะที่แตกสลาย ผมเผ้าปลิวลอย มีลำแสงสีทองพุ่งยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ฉีกกระชากฟ้าดิน
ภาชนะติ่งเซียนสีทองที่แวววาวจับตาเตาหนึ่งบินออกมาจากร่างกายผู้อาวุโสเผ่ามังกรเซียน ภาชนะติ่งเซียนขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม จนมีขนาดเท่าภูเขาที่สูงใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วกดอัดสยบไปทางยักษ์กระดูกขาว
“โฮกก!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...