มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3109

เดินเข้าไปในราชรถ เมื่อดูจากด้านนอก ตัวราชรไม่ได้ดูกว้างใหญ่เท่าไหร่นัก ไม่นึกเลยว่าด้านในจะมีโลกอีกใบ

พื้นที่ภายในราชรถเหมือนดั่งแดนปริศนาแห่งหนึ่ง มีพระราชวังที่ประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่งลอยอยู่บนฟ้า จากนั้นก็มีสาวใช้ที่งดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ

“ท่านชายโปรดตามข้ามาเจ้าค่ะ”

สาวใช้โบกมือพลางพูด รุ้งยาวสายหนึ่งเหมือนดั่งสะพานที่เชื่อมต่อไปยังพระราชวังที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

หลัวซิวย่างเท้าเดินตามไป พลางคิดในใจว่าในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องดื่มดำทุกอย่างให้เต็มที่

เมื่อเขาเดินเข้าไปในพระราชวังหลังนั้น ก็เห็นสตรีชุดดำคนหนึ่งกำลังนอนตะแคงอยู่บนเตียงรูปเมฆ ใบหน้าของนางงดงามจนเมืองล่ม ประหนึ่งเทพปั้นที่งดงามที่สุด

ขาทั้งสองข้างของนางเรียวยาว เอวเล็กมากจนสามารถโอบได้ด้วยแขนข้างเดียว ทุกกริยาท่าทางล้วนดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง ทำให้คนมองเคลิบเคลิ้มอยู่ในความงดงามของนาง

“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาถึงโลกเซียนเร็วเช่นนี้”

สตรีงามเพลิศพริ้งอมยิ้มพลางมองไปทางหลัวซิว เห็นเพียงนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ราวกับค่อย ๆ เดินลงมาจากเมฆ มาถึงหน้าหลัวซิว กลิ่นหอมของร่างกายได้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจหลัวซิว

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจหลัวซิวก็สั่นไหวขึ้นมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเทพธิดาจิ่วโยวนี่รู้อยู่ว่าเขามาจากโลกามนุษย์

“เราเคยพบกันหรือ?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกแปลกใจ

“เคยพบแต่ก็ไม่เคยพบ”เทพธิดาจิ่วโยวยิ้มอย่างสวยหยาดเยิ้ม แล้วตอบกลับด้วยคำตอบที่กำกวม

“ยังจำตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่? หากไม่ใช่เพราะเจ้าเปลี่ยนแปลงตัวต้องห้ามของตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความลำบากเช่นกัน ดังนั้นเมื่อลองคิดดูแล้ว เจ้ามีพระคุณต่อข้าอยู่”เทพธิดาจิ่วโยวพูด

มีภาพฉากในความทรงจำปรากฏขึ้นมาในหัว หลัวซิวนึกถึงตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์ในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ เขาจำได้ว่าบนประตูใหญ่ของตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์มีลายเส้นที่นับไม่ถ้วน เขาทำการปรับแก้ลายเส้นที่อยู่ด้านบนตามเจตนาของตัวเอง ทำให้วิถีเซียนที่แฝงซ่อนอยู่ด้านบนสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็มีเงาลวงร่างมนุษย์ร่างหนึ่งปรากฏ หวังจะสังหารเขาในฝ่ามือเดียว

และในเวลานั้นเองก็มีพลังออร่าดวงหนึ่งปรากฏในตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์ เขาถึงรอดมาจากสภาพที่อับจน เข้าไปในระลอกคลื่นลูกหนึ่งแล้วถูกส่งออกมา

หลัวซิวนึกไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ถูกปิดผนึกอยู่ในตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์จะเป็นเทพธิดาจิ่วโยวอย่างนั้นหรือ?

“ดูท่าเจ้าน่าจะจำได้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าสภาพของหลัวซิวเหมือนหวนรำลึกถึงอดีต เทพธิดาจิ่วโยวก็ยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากความลำบาก ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย เจ้ายินดีที่จะไปเพ็ญตนกับข้าที่แดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโยวหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็ดึงสติกลับมาได้ทันที ก่อนจะประสานมือทำท่าคารวะ “ขอบพระคุณสำหรับน้ำใจของเทพธิดา ทว่าบัดนี้ข้ายังไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมกองกำลังใด ๆ”

ดูเหมือนเทพธิดาจิ่วโยวจะคาดเดาคำตอบนี้ของหลัวซิวได้ตั้งนานแล้วยังไงอย่างนั้น จึงหัวเราะเบา ๆ “ผู้ชายในเผ่าไท่ซ่างของพวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้ตลอดมานั่นแหละ ยอมที่จะค่อย ๆ แสวงหาธรรมวิถี ไปมาอย่างอิสระคนเดียว แต่ก็ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้อื่น”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเทพธิดาจิ่วโยวนี่ก็ทราบเช่นกันว่าเขาเป็นคนในเผ่าไท่ซ่าง

แต่ทว่าฟังจากคำพูดและพฤติกรรมของเทพธิดาจิ่วโยว ดูเหมือนนางจะไม่มีเจตนาร้ายต่อเผ่าไท่ซ่าง

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ในบรรดาทั้งหกเผ่าแห่งยุคบรรพกาล ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นตระกูลจิ่วโยวของเราและชนเผ่าไท่ซ่างดีที่สุดแล้ว สตรีจำนวนไม่น้อยในเผ่าจิ่วโยวของเราล้วนแต่งงานกับชายในเผ่าไท่ซ่างของพวกเจ้าด้วยนะ”

เทพธิดาจิ่วโยวชี้ไปทางแหวนเก็บของที่สวมใส่อยู่บนนิ้วหลัวซิว “แหวนเก็บของวงนั้นถือเป็นของขวัญขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มอบให้เจ้า น่าเสียดายที่สมบัติทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือแค่เพียงไข่มุกเต๋าเล็กน้อย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็รู้แจ้งขึ้นมาทันที “ที่แท้แหวนเก็บของวงนี้ก็เป็นแหวนที่ท่านมอบให้ข้าหรือ? ข้าก็คิดว่าตัวเองเก็บได้เพราะความโชคดีซะอีก”

คำพูดของหลัวซิวทำเอาเทพธิดาจิ่วโยวหลุดหัวเราะออกมา บรรยากาศดูปรองดองกันมาก

“เจ้าต้องระวังเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ ตั้งแต่ยุคบรรพกาล เผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นศัตรูกับเผ่าไท่ซ่างแล้ว ต่อมาหลังจากเผ่าไท่ซ่างของพวกเจ้าเสื่อมทรุดลง ก็เป็นเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์นี่แหละที่นำกำลังคนไล่ล่ากวาดล้างชนเผ่าของพวกเจ้าจนไม่เหลือหรอ”

เทพธิดาจิ่วโยวพูดย้ำเตือน “ฉะนั้นการเคลื่อนไหวในโลกเซียนของเจ้าจึงอันตรายอย่างยิ่ง แม้นจักไม่ได้ทำเพื่อการถ่ายทอดสืบสานเก้าต้องห้ามในเผ่าไท่ซ่างของพวกเจ้า เผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไปแน่นอน หากเจ้ากลับแดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโยวพร้อมข้า เช่นนั้นเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน”

“เผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์หมายตาข้าไว้แล้ว”หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด จากนั้นก็บอกเล่าเรื่องราวระหว่างเขาและตงฟางหยุนอีออกมา

“หึ ตงฟางหยุนอียังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ? มันยังเป็นคนที่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกลอยู่เหมือนเคยสินะ”

เทพธิดาจิ่วโยวทำเสียงหึเบา ๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูด: “การสอดแนมความลี้ลับของเก้าต้องห้ามที่อยู่บนตัวเจ้าเป็นแค่เรื่องหลอก จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันคือจะสังหารเจ้า เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

“เพราะเหตุใดหรือ?”หลัวซิวไม่เข้าใจมาก ๆ ต่อให้ในอดีตเผ่าไท่ซ่างและเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์จะเป็นศัตรูต่อกัน ทว่าปัจจุบันเผ่าไท่ซ่างเสื่อมทรุดลงจนอาจจะเหลือแค่เขาคนเดียวแล้ว และเขาก็เคยช่วยชีวิตตงฟางหยุนอีด้วย เมื่อพูดตามหลักนางไม่ควรไล่ล่าตนอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้สิ

“เจ้ารู้จัก6สังสารวัฏบรรพกาลหรือไม่?”

หลัวซิวส่ายหน้า ความรู้ที่มีต่อยุคบรรพกาลของเขามีน้อยมาก

“6สังสารวัฏบรรพกาลสอดคล้องกับ6เผ่าพันธุ์บรรพกาล ไท่ซ่างไร้ลักษณ์ ภูตศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ ตรีภพโกลาหล จิ่วโยวเลิศล้ำ ไท่จี๋อนัตกาล ดึกดำบรรพ์หนึ่งหล้า!”

“6เผ่าพันธุ์บรรพกาล ไท่ซ่างอันดับหนึ่ง 6สังสารวัฏบรรพกาล ไร้ลักษณ์อันดับหนึ่ง!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากเผ่ามังกรเซียนไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง เสียงของเขาสะท้อนไปทางเทพธิดาจิ่วโยวและเทพธิดาภูตเซียน

ต่างเป็นผู้มีอำนาจระดับผู้อาวุโสเหมือนกัน แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ตายอยู่ในแดนต้องห้ามกระดูกฝังในก่อนหน้านี้ ซึ่งมีนามว่าหลงเทียนหลิง

“ผู้อาวุโสเทียนหลิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ได้ยินมาว่าเผ่ามังกรเซียนของพวกเจ้าเจอคนคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝัง หรือพวกเจ้าได้รับเคล็ดวิชาบางอย่าง ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงภยันตรายในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง?”

ด้านล่างกระโจมรถสีทอง ตงฟางหยุนอีมองไปทางหลงเทียนหลิงที่พูดในเมื่อครู่นี้

“เทพธิดาภูตเซียนพูดเช่นนี้ไม่น่าฟังเลยนะ ข้าก็แค่คำนึงถึงความปลอดภัยของทุกท่าน”หลงเทียนหลิงพูดอย่างเย็นชา

ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่เหนือตงฟางหยุนอี แต่ตัวตนเทพธิดาภูตเซียนกลับไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถมองฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้น้อยคนหนึ่งได้เช่นกัน

“ในเมื่อทุกท่านจะเข้าไปในแดนต้องห้ามแห่งนี้ ก็ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว ข้ารู้ว่าเผ่ามังกรเซียนของพวกเจ้าพบสตรีนางหนึ่ง และในมือนางมีภัณฑ์เศษณ์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงภยันตรายในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง”ตงฟางหยุนอียังคงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด

“เจ้า......”

สีหน้าของหลงเทียนหลิงเปลี่ยนไป เขานึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบแล้ว แต่คนในภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ก็ยังรู้อีกอย่างนั้นหรือ

มีสตรีที่งดงามนางหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหลงเทียนหลิง หลัวซิวที่อยู่ในราชรถของเทพธิดาจิ่วโยวมองเห็นทุกอย่างชัดเจนมาก ซึ่งคนดังกล่าวก็คือหยุนเซวียนนั่นเอง

ดูเหมือนราชาเซียนหยุนหลงจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเผ่ามังกรเซียน ฉะนั้นเมื่อก่อนหยุนเซวียนก็เคยบอกกับเขาเช่นกันว่าหากบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียน นางจักไปขอเผ่ามังกรเซียนพึ่งพิง

และสาเหตุที่นางสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังได้นั้น ดูเหมือนจะเป็นเพราะภัณฑ์เศษณ์ชิ้นหนึ่งในมือ

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวก็มองเห็นหลินเทียนที่อยู่ในกลุ่มคนฝั่งภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าเขาจึงหม่นหมองลงไปทันที

หลินเทียนก็สามารถมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังได้เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะอาศัยภัณฑ์เศษณ์ที่อยู่ในมือหยุนเซวียน แต่วินาทีนี้เขากลับยืนอยู่ฝั่งภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นเรื่องที่หยุนเซวียนมีภัณฑ์เศษณ์ก็มีโอกาสเป็นเรื่องที่เขาแจ้งภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์สูงมาก

ครั้นอยู่ในโลกามนุษย์ เขาเคยร่วมมือกับพวกเขาเพื่อต่อต้านเฉว่โยวหวูจี๋ ปัจจุบันมาถึงโลกเซียน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อันตราย ทุกคนก็น่าจะแค่สามารถพึ่งพาตัวเอง จึงลืมความสัมพันธ์เมื่อครั้นนั้นไปตั้งนานแล้ว

ด้านล่างกระโจมรถสีทอง หลัวซิวก็มองเห็นลู่เมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายตงฟางหยุนอีเช่นกัน ใบหน้าของนางดูซีดเซียวมาก แววตาไร้ชีวิตชีวา ดูเศร้าโศก จึงทำให้เขารู้สึกเจ็บใจมาก

หลัวซิวกำหมัดแน่น แม้นจักบรรลุเป็นเซียนแล้ว ทว่าสุดท้ายเขาที่อยู่ในโลกเซียนก็อ่อนแอมากเกินไปอยู่ดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ