การเพ็ญตนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งบรรลุสู่แดนที่ใหม่เอี่ยมอย่างหลัวซิวแล้ว เขาจำเป็นต้องใช้ระยะเวลามาทำความคุ้นเคยกับแดนนี้ หลังจากแดนในปัจจุบันบริบูรณ์แล้ว ถึงจะสามารถก้าวเข้าสู่แดนต่อไปได้
เขาไม่ได้ใช้เข็มทิศสาส์นเต๋าในการเดินทาง แต่เป็นการเดินอยู่กลางท้องฟ้า พลางมองภูเขาแม่น้ำนับหมื่นลี้ที่อยู่ด้านล่าง แล้วเบิ่งมองท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต
“เวิง!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงกระบี่ดวงหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากป่าไม้ที่อยู่ด้านล่าง ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแสงดังกล่าวรวดเร็วปานสายฟ้า พุ่งตรงมาทางหลัวซิว
หลัวซิวที่กำลังเดินอยู่บนท้องฟ้าขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ยกเท้าแล้วย่ำลงพื้นครั้งหนึ่ง ทำให้แสงกระบี่ที่พุ่งตรงมาแตกสลาย
ในขณะเดียวกัน เขาก็แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป สายตาก็กราดมองลงไปด้านล่างเช่นกัน
มีวัยรุ่นหนุ่มสาวห้าหกคนรวมตัวกันอยู่ในป่าไม้ที่อยู่ด้านล่าง ด้านหน้าของพวกเขาคือกองไฟที่กำลังลุกโชนหนึ่งกอง ส่วนสิ่งมีชีวิตที่กำลังย่างอยู่บนกองไฟคืออสูรเซียนกลายพันธุ์ตัวหนึ่งที่มีสายเลือดพิเศษ
“กูเกลียดการที่มีคนย่ำผ่านหัวกูมากที่สุดแล้ว”
ผู้พูดคือชายหนุ่มผมยาวคนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการบอกว่าหน้าตาเขาดูหยิ่งผยอง จะดีกว่าหากบอกว่าเขาคือพวกดัดจริต
ซึ่งเขาก็คือคนที่ฟาดฟันแสงกระบี่ในเมื่อครู่นี้ออกไปนั่นเอง เมื่อเห็นว่าแสงกระบี่ถูกฝ่ายตรงข้ามย่ำจนแตกสลายในคราวเดียว ชายหนุ่มผมยาวนั่นก็ยักคิ้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าดูไม่พอใจ “มึงคือศิษย์จากสำนักตระกูลหรือ? ถึงขั้นไร้มารยาทเช่นนี้?”
แตกต่างจากโลกามนุษย์ สภาพแวดล้อมการฝึกตนในโลกเซียนนั้นดีเลิศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเหล่าอัจฉริยะที่มีตัวตนไม่ธรรมดา การที่จะฝึกตนถึงแดนเซียนนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานด้วยซ้ำ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีก็สามารถทำได้แล้ว
สำหรับกองกำลังใหญ่ส่วนมากแล้ว ต้องฝึกตนให้บรรลุถึงแดนเซียนดินก่อน พวกเขาถึงจะอนุญาตให้ศิษย์อัจฉริยะเหล่านี้ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอก อย่างไรเสียหากปิดขังตบะอยู่แต่ในสำนักเขา มากสุดก็แค่สามารถฝึกถึงแดนเซียนชั้นฟ้า อนาคตหากต้องการบรรลุสู่ราชาเซียน ตลอดจนกษัตริย์เซียนประมุขเซียน ก็จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มาก ๆ และตระหนักธรรมเวชให้มากยิ่งขึ้น
ตัวเองก็แค่เดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้เท่านั้น และเนื่องจากข้ามผ่านเหนือศีรษะเหล่าบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่กล่าวถึง คนเหล่านี้จึงลงมือโจมตีผู้อื่นโดยไม่สนสี่สนแปด
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะแห่งกองกำลังใหญ่ที่ออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอก
“คนหนุ่มออกมาฝึกตนเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ด้านนอกน่ะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนหน่อยจะดีกว่านะ”
หลัวซิวไม่มีเจตนาที่จะโต้เถียงกับพวกเขา แค่พูดด้วยประโยคที่เรียบนิ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าต่อ
“ผลการฝึกตนมึงเป็นเพียงเซียนดิน ไม่นึกเลยว่าจะกล้าชี้แนะสั่งสอนกูด้วยน้ำเสียงวาจาของผู้อาวุโส?”
จู่ ๆ ชายหนุ่มผมยาวก็ลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า: “มึงคงคิดว่าเมื่อครู่มึงเพิ่งเหยียบทลายแสงกระบี่ของกู จึงคิดว่าตัวเองเก่งแน่มากเลยสินะ? นั่นก็แค่พลังที่กูปลดปล่อยออกไปอย่างสบายมือเท่านั้นแหละ หากท่านชายอย่างกูต้องการสังหารมึง มึงคงตายไปตั้งนานแล้ว”
เงาร่างของหลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย สำหรับเหล่าบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่ฝึกตนปิดขังอยู่แต่ในห้องที่สงบสุขเป็นร้อยปีแล้วบรรลุถึงแดนเซียนดิน เขาถือเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาแล้วจริง ๆ
แม้นจะฝึกตนมาหลายร้อยปี ทว่าท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็คบค้าสมาคมกับผู้คนในโลกาภายนอกน้อยมาก แต่ละคนหลงคิดว่าตนเองเก่งแน่ไม่ธรรมดา หลัวซิวก็เบื่อที่จะเสวนากับพวกเขาเช่นกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! วันนี้ถ้าเกิดมึงไม่คุกเข่ากราบขอโทษท่านชายอย่างกู ก็อย่าคิดว่าจะสามารถจากไปได้อย่างสงบสุข!”
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับแสดงท่าทีที่ดูไม่อยากเกลือกกลั้วกับฝ่ายตรงข้าม ชายหนุ่มผมยาวนั่นจึงคิดว่าเขากลัวปัญหา จึงทำพฤติกรรมยิ่งแย่แล้วใหญ่
“ชิ่ว!”
ชายหนุ่มผมยาวกระโดดครั้งหนึ่ง ผันเป็นแสงกลรูปกระบี่เล่มหนึ่ง แล้วปรากฏตรงหน้าหลัวซิวภายในชั่วพริบตาเดียว กระบี่เซียนเล่มหนึ่งถูกเขาเรียกออกมา ก่อนจะฟาดฟันไปทางขาทั้งสองข้างของหลัวซิว
เหล่าหนุ่มสาวอัจฉริยะที่อยู่ด้านล่างต่างกำลังอมยิ้มหัวเราะ แม้นจะอยู่ในแดนเซียนดินเหมือนกัน แต่อัจฉริยะอย่างพวกเขากลับแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันมากถึงมากที่สุดเลย จึงไม่มีทางคิดอยู่แล้วว่าชายหนุ่มผมยาวจะสยบคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ได้
“คำนึงถึงเรื่องที่เจ้ายังหนุ่ม การเพ็ญตนมิใช่เรื่องง่าย อย่าได้หลงตัวเองไปเลย”
เงาร่างหลัวซิวกระพริบครั้งหนึ่ง ปราณกระบี่ฟาดฟันผ่านไป แค่เฉือนโดนเศษเงาร่างหนึ่ง ส่วนร่างกายของเขากลับเดินผ่านชายหนุ่มผมยาวอย่างสุขุมเรียบนิ่ง
“มึงกล้าหลบอย่างนั้นหรือ? เดิมทีกูแค่วางแผนที่จะตัดขาทั้งสองข้างของมึง ดูท่าถ้าเกิดไม่อบรมสั่งสอนมึงหน่อย มึงคงไม่รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของท่านชายอย่างกูแล้วสินะ!”
สีหน้าของชายหนุ่มผมยาวดูย่ำแย่มาก เหล่าสหายอัจฉริยะที่อยู่ด้านล่างกำลังมองดูอยู่ ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เซียนดินตนหนึ่งตัวเองก็ยังกำราบไม่ได้ ถึงตอนนั้นต้องมีคนนำเรื่องนี้มาหยอกล้อเขาแน่นอน
“พลาดครั้งแรกยังให้อภัยได้ แต่พลาดครั้งสองก็จะไม่มีคำว่าให้อภัยแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มผมยาวกระตุ้นกระบี่เซียนแล้วสับสังหารเข้ามาอีกครั้ง หลัวซิวก็หยุดการเคลื่อนไหว แล้วค่อย ๆ หันหลังกลับมา
เสียงของเขายังคงเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย แต่กลับมีความเยือกเย็นปนอยู่เล็กน้อย
“เตี๊ยง!”
เห็นเพียงหลัวซิวยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ณ เสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วของเขาปะทะกับกระบี่เซียน กระบี่เซียนชั้นสูงเล่มนี้ก็ถึงขั้นแตกสลายเป็นชิ้น ๆ ภายในพริบตา กลายเป็นฝุ่นผงตลบฟุ้งไปทั่วฟ้า
ในขณะเดียวกัน นิ้วมือนิ้วนี้ของเขาก็ราวกับกลายเป็นเสาเทพค้ำฟ้า หน้านิ้วเสมือนตราประทับ กดอัดไปทางชายหนุ่มผมยาว
“ตู้มม!”
ร่างกำลังเดินอยู่กลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ห้วงจิตเร่ร่อนพเนจรอยู่ในท้องฟ้า พลางตระหนักความมหัศจรรย์ของเกณฑ์ฟ้าดินที่ล้ำลึก
หลัวซิวไม่ได้นำเรื่องที่ลงมือสังหารอัจฉริยะที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงตนหนึ่งมาใส่ใจด้วยซ้ำ
ในทุก ๆ ปี ในโลกเซียนที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนดินเช่นนี้ตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาไม่เร็วเท่าไหร่นัก ดังนั้นพี่สาวและอาจารย์ของหลิวเฟยหยูจึงไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว แล้วสกัดทางเดินของเขาไว้
หลัวซิวหยุดฝีเท้าลง ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยพลางมองทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้า “พวกเจ้ามาเพราะชายหนุ่มในเมื่อครู่นี้หรือ?”
“ถูกต้อง ผู้ที่ถูกเจ้าสังหารคือน้องชายข้า”มีความเย็นยะเยือกปนอยู่ในดวงตาที่งดงามคู่นั้นของหลิวเฟยเจีย
“แม้นเขาจะเป็นฝ่ายผิดก่อน แต่เจ้าไม่ควรลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า”
“โหดร้าย?”
หลัวซิวส่ายหน้า “เจ้าเข้าใจสถานการณ์ดีจริงหรือ? ข้าก็แค่เดินทางผ่าน และเป็นเพียงเพราะมันไม่พอใจที่ข้าบินผ่านเหนือนภามัน จึงอยากตัดขาทั้งสองข้างของข้าทิ้ง แล้วให้ข้าคุกเข่ากราบขอโทษ”
“นั่นเป็นเพียงความเด็กที่ไม่รู้จักโตของน้องชายข้าจริง ๆ แต่ว่าเขาตายแล้ว!”มีจิตสังหารและความเกลียดแค้นทะลุออกมาจากดวงตาของหลิวเฟยเจีย
“ข้ารู้สึกว่าถึงตายไปก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรมของมัน อันที่จริงข้าเคยให้โอกาสมันแล้ว จากอุปนิสัยที่เย่อหยิ่งจองหองของคนอย่างมัน ต่อให้ไม่มีข้า อนาคตมันก็ต้องรุกรานผู้อื่นแน่นอน บางทีมันอาจนำพาหายนะให้แก่สำนักเซียนของพวกเจ้าด้วย”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
“และเป็นเช่นเดียวกัน ข้าก็จะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่งเช่นกัน หากพวกเจ้าจากไปตอนนี้ แล้วข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเจ้า!”
“ช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก! มึงเป็นเพียงเซียนดินกระจอก ๆ ตนหนึ่ง ไยจึงบังอาจปากดีเช่นนี้? มึงทราบหรือไม่ว่าสำนักเซียนของเรามีราชาเซียนคอยคุ้มกันรักษา?”
ผู้อาวุโสวัยกลางคนตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “เจียเอ๋อร์ ไม่มีอะไรต้องพูดกับคนจองหองเช่นนี้หรอก ฆ่ามันแล้วล้างแค้นให้เฟยหยูซะ”
“ราชาเซียนแล้วอย่างไร? เหนือราชาเซียนยังมีกษัตริย์เซียนประมุขเซียน มาตรแม้นว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่ง ก็ดับสลายสูญสิ้นอยู่ในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน แล้วจะนับประสาอะไรกับสำนักเซียนเล็ก ๆ สำนักเดียว?!”
“แค่เซียนดินกระจอก ๆ แต่ฝีปากช่างน่าทึ่งยิ่งนัก กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงมีปัญญาความสามารถอย่างไรกันแน่!”
จิตสังหารของผู้อาวุโสวัยกลางคนเข้มข้น มีคลื่นจิตเซียนที่แข็งแกร่งแพร่กระจายออกมาจากร่างกาย มีพลานุภาพของภัณฑ์เซียนชั้นสูงกำลังสะสมอยู่ในร่างกายเขา เตรียมพร้อมที่ปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...