เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะลงมือ สีหน้าของหลัวซิวก็ยังคงเรียบนิ่งเหมือนเคย
“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม หากพวกเจ้าถดถอยเอง เรื่องนี้ยังพอมีพื้นที่ให้หวนคืนกลับ”หลัวซิวพูด
“ตายซะเถอะ!”
ผู้อาวุโสวัยกลางคนตะคอกเสียงดัง มีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากร่างกายเขา ผันเป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง แล้วสับสังหารมาในระยะประชิด
หลัวซิวถอนหายใจเบา ๆ “พวกเจ้าเคยได้ยินคำว่าซิวหลัวพิโรธหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก แต่ในความเย็นชาราวกับมีจิตสังหารที่น่าทึ่ง
“ตู้มม!”
คลื่นพลังที่น่ากลัวพรั่งพรูปะทุออกมาจากร่างกายเขา เห็น ๆ อยู่ว่าผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงเซียนดินขั้นปฐมภูมิ แต่คลื่นจิตเซียนที่ม้วนซัดแย้มบานออกมาจากร่างกายกลับแข็งแกร่งกว่าเซียนชั้นฟ้าเสียอีก
เห็นเพียงเขายกมือโบกครั้งหนึ่ง พลังอมตะของหัตถ์แหลกดาราก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือ มีแสงเซียนหมุนเวียนอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนจะพุ่งชนเข้ากับดาบเซียนชั้นสูงจนเสียงเตี๊ยงดังขึ้น
“แคว็ก!”
ดาบเซียนแตกสลายอยู่กลางอากาศ ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ห้วงเวลา ร่างกายของหลัวซิวจึงปรากฏตรงหน้าชายวัยกลางคนภายในเสี้ยววินาทีเดียว
เร่งเวลา ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขารวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่วนการลดเวลากลับทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามช้าลง
ลดสิ่งหนึ่งเร่งสิ่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนทำได้เพียงมองดูฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยิ่งอยู่ยิ่งประชิดใกล้กะโหลกตัวเอง จากนั้นก็มีเสียงปั้งดังขึ้น กะโหลกระเบิดแตก ร่างกายก็แตกสลายเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน
“ผู้อาวุโส!”
หลิวเฟยเจียที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี สัมผัสได้แค่ว่ามีไอที่เยือกเย็นปกคลุมทั้งร่างกาย ในที่สุดวินาทีนี้นางก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามจึงสุขุมเช่นนี้ เพราะแม้แต่ผู้อาวุโสระดับเซียนชั้นฟ้าก็ต้านทานหนึ่งพลังโจมตีของเขาไม่ได้!
“เผ่น!”
หลิวเฟยเจียไม่มีความลังเลใจใด ๆ นางเพิ่งบรรลุเป็นเซียนชั้นฟ้าได้ไม่นาน ศักยภาพยังเทียบเคียงกับผู้อาวุโสวัยกลางคนนั่นไม่ได้ ซึ่งไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของชายชุดคลุมยาวดำนี่ด้วยซ้ำ
“เมื่อยับยั้งจิตสังหารไว้ ข้าคือหลัวซิวหรือไท่ซ่างฉิง หากจิตสังหารบังเกิด เช่นนั้นข้าก็เป็นเพียงหลัวซิว……”
ในระหว่างที่หกระเหินเดินฟ้า หลัวซิวรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตัวเองดื่มด่ำอยู่ในดินแดนที่ธรรมเวชสวามิภักดิ์
เขาแค่ก้าวเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แต่ระยะทางที่ห่างไกลกันอย่างไร้ขอบเขตกลับกลายเป็นไม่กี่ฟุตเมื่ออยู่ใต้เท้าเขา สกัดทางหนีของหลิวเฟยเจียเอาไว้ได้ภายในพริบตา
แม้นนี่จะเป็นสตรีผู้งดงามดั่งบุปผา แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะทะนุถนอมโฉมงาม
จิตสังหารของดาบหักเซียนที่วิวัฒนาการออกมาจากไร้ลักษณ์ ภายใต้การปกคลุมจากพลังอมตะเจว๋เทียน แววตาของหลิวเฟยเจียจึงดูเหม่อลอยขึ้นมาภายในพริบตา ตัวธรรมจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังที่ไร้ขอบเขตและไม่สามารถฉุดรั้งกลับคืนมาได้
ทันใดนั้น หลัวซิวก็ค่อย ๆ ยกนิ้วมือหนึ่งขึ้นมา แล้วจิ้มลงกลางหว่างคิ้วของนาง
“ฟึ่บ!”
แสงเซียนดวงหนึ่งทะลวงหว่างคิ้วนาง โฉมงามนางหนึ่งดับสลายสูญสิ้น เสมือนบุปผางดงามที่ร่วงโรยในลมฤดูใบไม้ร่วง
“การสังหารคนขึ้นอยู่กับห้วงความคิดเดียวเท่านั้น หลัวซิวหรือซิวหลัวก็ขึ้นอยู่กับห้วงความคิดเดียวเช่นกัน”
ร่างกายของหลัวซิวไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ เขาไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ลอยอยู่กลางท้องฟ้าพลางมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าต่อ ชุดคลุมยาวดำที่อยู่ท่ามกลางสายลมถูกพัดจนเสียงดังฟึดฟัด
ถึงแม้สำนักเซียนของฝ่ายตรงข้ามจะมีผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียน แต่ประเทศเซียนฉื้อหมิงตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว ซึ่งราชาเซียนถูกตนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในครั้งนี้ จึงไม่มีทางหาเวลามาจัดการเขาได้ด้วยซ้ำ
มากไปกว่านั้นคือเขาในปัจจุบันสามารถสังหารเซียนชั้นฟ้าทั่วไปได้อย่างง่ายดายแล้ว และมีเพียงอัจฉริยะเซียนชั้นฟ้าส่วนน้อยเท่านั้นที่ฝึกวรยุทธ์เลิศล้ำถึงสามารถต่อกรกับเขาได้ ต่อให้เจอราชาเซียนแล้วไม่ใช่คู่ต่อสู้ เขาก็มีความสามารถในการเอาตัวรอดเช่นกัน
อีกอย่างแม้ราชาเซียนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะลงมือ หากคอยเขามาถึง ตนก็อาจจะออกจากประเทศเซียนฉื้อหมิงแล้ว
“แม้นข้าจักมีกำลังรบระดับเซียนชั้นฟ้า แต่คาดว่าต่อให้ใช้ภัณฑ์เซียนทั้งสาม ก็ใช่ว่าจะสามารถต่อสู้กับราชาเซียนได้เสมอไป”
เซียนชั้นฟ้าและราชาเซียนดูเหมือนจะห่างกันแค่แดนเดียว แต่มันกลับเป็นการก้าวข้ามจากสามแดนเซียนสู่มหาแดนเซียน ซึ่งช่วงระยะความต่างของทั้งสองแดนนี้ มากกว่าระหว่างเซียนปุถุชนทั่วไปกับเซียนชั้นฟ้าเสียอีก
เพราะผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนแทบจะเดินขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดของเกณฑ์ทวยเทพแล้ว อีกแค่ก้าวเดียว ก็จะได้สัมผัสกับเกณฑ์สูงศักดิ์ใหญ่ทั้งสามในตำนาน
เล่ากันว่าผู้แข็งแกร่งระดับกษัตริย์เซียนยึดกุมเกณฑ์สูงศักดิ์เสี้ยวหนึ่งแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเซียนจะยึดกุมมากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มีทางยึดกุมได้โดยสิ้นเชิงแน่นอน
ตำนานเล่าขานกันว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งแดนเซียนสูงสุดเท่านั้น ถึงจะเดินอยู่บนเส้นทางของเกณฑ์สูงศักดิ์ได้ไกลกว่าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเซียนจักรพรรดิเซียน ยิ่งย่างกรายสู่ระดับขั้นของเกณฑ์สรรค์ดับเลิศล้ำ ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งระเบียบอันไกลโพ้นในตำนาน
……
หลังจากผ่านไปหลายวัน หลัวซิวก็ออกจากดินแดนของประเทศเซียนฉื้อหมิง มาถึงประเทศเซียนชิงหยวนที่อยู่ติดกับประเทศเซียนฉื้อหมิง
เบิ่งมองออกไปไกล ๆ เขามองเห็นเมืองเซียนแห่งหนึ่ง ประหนึ่งผู้บำเพ็ญตนอิสระธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่เดินทางมาถึงเมืองเซียนแห่งนี้
บนชั้นสูงของภัตตาคารที่ประณิตสวยวิจิตรแห่งหนึ่ง มีสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่าง เส้นผมที่ยาวดำของนางเหมือนน้ำตก แขนที่ขาวดุจหยก ร่างกายที่ขาวใสดั่งเพชรพลอย มีออร่าที่น่าหลงใหลเป็นประกาย
แขนถูกกรีดจนเกิดเป็นบาดแผลเล็ก ๆ จุดหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามจึงดึงนิ้วมือกลับคืนไปภายในพริบตา บนปลายนิ้วมีเลือดสีแดงสดหยดหนึ่งของหลัวซิว
“ใช่เจ้าจริง ๆ ด้วย เจ้าต้องไปพร้อมข้าหนหนึ่งแล้วล่ะ”เสียงที่ไพเราะสะท้อนมาอีกครั้ง
จิตใจหลัวซิวเข้มงวดขึ้นมา เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าศักยภาพของสตรีนางนี้อยู่เหนือตัวเอง ต้องท้าวความก่อนว่าร่างเนื้อของเขาเทียบเท่าภัณฑ์เซียนชั้นยอด แต่สตรีนางนี้ก็ยังสามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้อย่างง่ายดายอยู่ดี จึงแสดงให้เห็นเลยว่าต่อให้นางไม่ใช่ราชาเซียน แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในแดนเซียนชั้นฟ้าแน่นอน
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
แม้นศักยภาพจะแตกต่างกันมากก็ตาม แต่จากอุปนิสัยของหลัวซิว เขาไม่มีทางนั่งรอให้ความตายมาเยือน ภัณฑ์เซียนทั้งสามชิ้นที่อยู่ในตัวหยั่งรู้เตรียมพร้อมที่จะลงมือบุกตลอดเวลา
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้า”สตรีลึกลับเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “จะว่าไปเจ้าก็ถือเป็นคนครึ่งเผ่าพันธุ์ของข้าเช่นกัน”
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เขาไม่มีทางเชื่อสตรีนางนี้เพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ
“ดูท่าเจ้าไม่เชื่อใจข้านี่ แล้วถ้าเกิดข้าบอกว่าข้ารู้ว่าพ่อแม่เจ้าคือไท่ซ่างอวี้และเทพธิดาเมี่ยวฮว๋าล่ะ?”คำพูดดังกล่าวของสตรีลึน่าทึ่งอย่างยิ่ง
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลายเป็นเข็มทิศสาส์นเต๋าปรากฏใต้เท้า ก่อนจะผันเป็นแสงกลดวงหนึ่งภายในพริบตา แล้วบินจากไปไกล
อย่างไรก็ตามแม้นความเร็วของเข็มทิศสาส์นเต๋าจะเร็วมากก็จริง ยิ่งกว่านั้นคือผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเซียนไม่มีทางไล่ตามเขาทันแน่นอน แต่สตรีลึกลับนางนี้กลับไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป มีรุ้งยาวสายหนึ่งปรากฏใต้เท้านาง แล้วไล่ตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสกัดหลัวซิวเอาไว้อีกครั้ง
“โครม!”
จู่ ๆ ก็มีภาชนะติ่งปีศาจสีเขียวดำชิ้นหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วหลัวซิว มีปราณปีศาจพรั่งพรูออกมาจากภาชนะติ่ง ปราณปีศาจผันเป็นร่างมังกร เสียงคำรามมังกรสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แล้วฉีกกัดไปทางสตรีลึกลับ
“ภาชนะติ่งปีศาจมังกร?”
น้ำเสียงของสตรีลึกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความแปลกใจ “ไม่นึกเลยว่าภาชนะติ่งปีศาจมังกรที่ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหลายพลิกแผ่นดินตามหากันอย่างทรหดจะอยู่ในมือเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ภาชนะติ่งปีศาจมังกรหรือเตาปีศาจมังกรเป็นสมบัติที่จักรพรรดิเซียนฝึกเซ่นขึ้นมาด้วยตนเอง ต่อให้ไม่ใช่ภัณฑ์เซียนชาตะของจักรพรรดิเซียน แต่มันก็เป็นอัญจักรพรรดิเซียนเช่นกัน แม้นจะกระตุ้นด้วยผลการฝึกตนเซียนดิน พลานุภาพของมันก็น่าทึ่งมากจนหาที่เปรียบไม่ได้
อำนาจบารมีจักรพรรดิที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้งออกไปทั่วทุกสารทิศ สตรีลึกลับแข็งแกร่งมากก็จริง แต่นางก็ไม่กล้าต้านรับโดยตรงเช่นกัน ก่อนจะลอยถอยหลังกลับไป
“ตู้มม!”
อนัตตาบริเวณโดยรอบนับหมื่นลี้ถูกภาชนะติ่งหรือเตาดังกล่าวโจมตีจนแตกสลาย หลัวซิวไม่ได้โจมตีเป็นครั้งที่สองแต่อย่างใด ก่อนจะหันหลังแล้วหลบหนีต่ออย่างไม่ลังเลใจ
อย่างไรก็ตามความเร็วในการเคลื่อนที่ของสตรีลึกลับเร็วเกินไป เขาเพิ่งหลบหนีมาได้ไม่นาน ก็ถูกสกัดกั้นอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...