มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3130

ชีวิตในสำนักเซียนเสวียนแท้นั้นธรรมดาเหมือนน้ำ

นอกเหนือจากการฝึกฝนทุกวันแล้ว หลัวซิวยังเดินออกจากบ้านไม้และนั่งอยู่บนเมฆมองดูห้องโถงเสวียนแท้ที่อยู่ลึกเข้าไปในประตูภูเขา

เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ เทพธิดาขีดไฟมาถึง สำนักเซียน เรือเซียนไฟกัลป์ลอบอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกสำนักซึ่งแสดงให้เห็นว่านางยังไม่ได้จากไป

การฝึกฝนยุทธ์ถึงระดับเซียนแล้ว และการเพิ่มผลการฝึกฝนไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน

แม้ว่าเขาจะมีทรัพยากรในการฝึกฝนเพียงพอ แต่ครั้งสุดท้ายที่หลัวซิวบุกทะลวงเข้าสู่เซียนดิน เขาต้องใช้เวลาถึงร้อยปี เมื่อแปลงเป็นในสีมาเพลา นั่นก็จะนับหมื่นปี

ในฐานะศิษย์นอกสำนัก เขายังต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ขีดจัตุ

ในบรรดาภูมิภาคสิบลี้ของโลกเซียน กองกำลังที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทั้งมรดกของจักรพรรดิเซียน หรือมีมรดกอันทรงพลังของมกุฎเซียนที่เทียบได้กับจักรพรรดิเซียน

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันมีจักรพรรดิเซียนเพียงไม่กี่คนในแต่ละยุค เผ่าไท่ซ่างหายไปนานแล้วมีเพียงชื่อเสียงยังหลงเหลือยู่และยังถูกผู้คนจำนวนมากในโลกลืมไปอีกด้วย

ดังนั้นในโลกเซียน แดนศักดิ์สิทธิ์มรดกระดับจักรพรรดิเซียนที่ได้รับการยอมรับคือเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลดึกดำบรรพ์ ตระกลูนัตกาล เผ่าจิ่วโยว

ไม่มีจักรพรรดิเซียนคนใดเคยปรากฏตัวในแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นใด และในเผ่าตรีภพก็ไม่เคยมีจักรพรรดิเซียนจากท่ามกลางหกเผ่าโบราณ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่เคยมีจักรพรรดิเซียนจึงไม่ได้หมายความว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อ่อนแอกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกระดับจักรพรรดิเซียน ตัวอย่างเช่นเผ่าตรีภพชนเผ่าของพวกเขาเกิดมาพร้อมกับความรู้ในการฝึกฝนธรรมลักษณ์ฟ้าดิน และพลังการต่อสู้ของพวกเขาก็เป็นหนึ่งในเผ่าที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแดนเดียวกัน อยู่ยงคงกระพัน!

เผ่าตรีภพเคยมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเซียนหลายคน ซึ่งแต่ละคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งสามารถหยุดจักรพรรดิเซียนและฝึกฝนจนร่างสูงถึงหมื่นฟุตได้

สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ขีดจัตุนั้นจริงๆ แล้วเป็นการรวมตัวกันของกองกำลังหลักทั้งสี่ กองกำลังเดียวก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม หากกองกำลังทั้งสี่รวมกัน พวกเขาสามารถสร้างมรดกแดนศักดิ์สิทธิ์และควบคุมภูมิภาคนี้ได้

ตัวแทนของกองกำลังทั้งสี่นี้คือดินลมน้ำไฟสี่วัง วังขีดดินคือเผ่ากิเลน วังขีดลมคือเผ่าเสือขาว วังขีดน้ำคือเผ่ากัศปะ วังขีดไฟคือเผ่าหงส์เซียน

“อย่างนี้นี่เอง”

หลังจากที่หลัวซิวค้นหาข้อมูลนี้พบ เขาก็เข้าใจทันทีว่าเผ่าญาติวิหกเพลิงในอโลกามนุษย์น่าจะเป็นสาขาที่แยกออกมาของเผ่าหงส์เซียนในวังขีดไฟจากโลกเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย

เยว่เอ๋อร์ได้รับมรดกจากบรรพบุรุษรุ่นที่สามของเผ่าหงส์เซียนในปริภูมิต้องห้าม เนื่องจากระดับสายเลือดของนางเกือบจะสูงพอๆ กับบรรพบุรุษรุ่นที่เก้า นางจึงถูกส่งไปยังโลกเซียนโดยตรงเมื่อนางใช้ค่ายกล ก่อนหน้านี้หลัวซิวรู้อยู่แล้วว่าจากโลกามนุษย์สู่โลกเซียน หรือจากโลกเซียนสู่โลกามนุษย์ ไม่เพียงแต่มีสะพานทะยานเซียนเท่านั้น แต่ยกเว้นเส้นทางสะพานทะยานเซียน วิธีอื่นที่สามารถใช้ได้ต้องมีเงื่อนไขบางประการ

แต่อย่างน้อยที่สุด หากไม่สามารถใช้สะพานทะยานเซียนได้ โดยทั่วไปจะไม่มีใครจากโลกเซียนที่จะลงไปสู่โลกามนุษย์

ทันใดนั้น หลัวซิวหยิบหนังสือโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมา ทันทีที่เขาหยิบหนังสือขึ้นมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของเวลา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนังสือเล่มนี้มีอายุมานานแล้ว

บนหน้าปกเขียนว่าจดหมายคุนหวู่

หลัวซิวไม่รู้ว่าคุนหวู่คือใคร เขาเปิดออกอย่างลวกๆแล้วถูกเนื้อหาที่บันทึกไว้ดึงดูด

“อาจารย์ปู่เสวียนแท้มาจากอนัตกาล และวิถีอนัตกาลคือไท่จี๋ ไท่จี๋ให้กำเนิดทวิลักษณ์ ทวิลักษณ์ให้กำเนิดจตุลักษณ์ และจตุลักษณ์ให้กำเนิดปากว้า”

“อย่างไรก็ตามอาจารย์ปู่ได้ฝึกบำเพ็ญปรปักษ์ไท่จี๋ และต้องการใช้ไท่จี๋สร้างตรีภพ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับการยอมรับจากไท่จี๋อนัตกาล ขาจึงออกมาจากอนัตกาล และสร้างลัทธิเต๋าของเขาเองขึ้นมา ด้วยความโกรธ เ”

“ก่อนที่อาจารย์ปู่จะปิดกั้นฝึกตน เขาได้ทิ้งมรดกไว้บนภูเขาเต๋าแท้ ในช่วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ค้นหามัน แต่ก็ไม่มีผลใดๆ....”

คู่มือจดหมายคุนหวู่นี้กล่าวถึงที่มาของอาจารย์ปู่เสวียนแท้และสาเหตุที่เขาออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์อนัตกาล

ตระกลูนัตกาลเคยมีจักรพรรดิเซียนในยุคโบราณกลางมาก่อน ดังนั้นไท่จี๋ให้กำเนิดทวิลักษณ์ ทวิลักษณ์ให้กำเนิดจตุลักษณ์ และจตุลักษณ์ให้กำเนิดปากว้าคือความคิดดั้งเดิมจักรพรรดิเซียนอนัตกาลทิ้งไว้

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูบ้านไม้ถูกผลักเปิดออกและมีชายวัยกลางคนผมยาวปลอยลงมาเดินออกมา เขาสวมเสื้อผ้าสีเขียวเรียบง่ายดวงตาของเขาสงบและนิ่ง ไม่มีออร่าที่ดุร้ายใดๆ

ผมของเขาคงไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังเป็นสีดำและเป็นประกายจนแทบจะยาวถึงพื้น

ชายวัยกลางคนก็มองเห็นหลัวซิว เห็นเขายิ้มเล็กน้อยให้กับหลัวซิว “ข้าคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาที่ภูเขาเต๋าแท้ เพื่อหาโอกาส”

“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่อาจารย์ปู่เสวียนแท้บรรลุความเข้าใจที่นี่ ศิษย์จำนวนมากมาที่นี่ทุกปีเพื่อค้นหาร่องรอยของความเข้าใจที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้ใช่ไหม?”

หลัวซิวยกมือขึ้นคำนับไว้ แม้ว่าร่างกายของชายวัยกลางคนคนนี้จะไม่มีออร่าที่ผันผวน แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าคนตรงหน้าไม่ธรรมดา ดูเหมือนธรรมเวชธรรมชาติที่ลึกซึ้ง

“ฮ่าฮ่าเจ้าพูดถูก จะมีคนมากมายทุกปี แต่ไม่มีใครสามารถอดทนได้ แต่ข้าดูแล้วเจ้าไม่เข้าใจ ดวงตาของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”

ชายวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างมีความหมาย

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของหลัวซิวก็เต้นรัว เขารู้สึกว่าความลับของเขาไม่สามารถซ่อนไว้จากชายวัยกลางคนคนนี้ได้ อีกฝ่ายอาจค้นพบว่าเขาปลอมตัวเป็นศิษย์ของสำนักเซียนเสวียนแท้

แต่ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดออกมา เขามองดูเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม “สามารถมาที่นี่ได้ก็หมายความว่ามีวาสนากับเสวียนแท้ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้”

หลังจากสิ้นคำพูด ก่อนที่หลัวซิวจะพูดอะไร ชายวัยกลางคนก็กระโดดขึ้นไปบนก้อนเมฆและหายตัวไปในก้อนเมฆอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของหลัวซิวกะพริบสองสามครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองตัวตนของเขาออกหรือไม่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย เขาจึงไม่เปิดเผยตัวตนก่อน

“อาจารย์ปู่เสวียนแท้มรรคผลเซียนสูงสุด และสามารถได้รับการยอมรับจากแดนศักดิ์สิทธิ์อนัตกาล สำนักเซียนเสวียนแท้นี้น่าจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายซ่อนอยู่ ไม่ใช่สำนักเซียนธรรมดาเหล่านั้นจะเทียบได้”

หลัวซิวแอบคิดในใจ เขาจะอยู่บนภูเขาเต๋าแท้นี้สักระยะ หากเขาเข้าใจอะไรบางอย่างได้ก็คงดี ถ้าเขาไม่เข้าใจ ในไม่ช้านี้เขาก็เตรียมออกเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ