มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3134

......ภูมิภาคสามยอด

หลัวซิวที่นั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศสาส์นเต๋ากำลังเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างอนัตตา พลางหันกลับไปมองแผ่นดินใหญ่ที่กว้างใหญ่ไพศาล

การเดินทางมาสำนักเซียนเสวียนแท้ในครั้งนี้เขาได้รับดอกผลเยอะมาก หลังจากอาศัยฤทธิ์ยาของราชาสมุนไพร การตระหนักรู้บนวิถียุทธ์ของเขาไม่เพียงมีการพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่ ผลการฝึกตนก็เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นเช่นกัน บรรลุถึงเซียนดินช่วงกลาง

มีไร้ลักษณ์ไร้รูปอำพรางออร่า บวกกับเขาหลบหนีไปก่อนล่วงหน้า ต่อให้มีผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์วิถีเซียนแห่งเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ย่างกรายมา ก็อย่าคิดว่าจะสามารถตรวจจับพลังออร่าของเขาแล้วผนึกทิศทางการเคลื่อนไหวของเขาได้

สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อมีวิชาไร้ลักษณ์ หลัวซิวก็ไม่กลัวด้วยซ้ำว่าจะถูกไล่ล่า บัดนี้สิ่งที่เขาต้องการคือเวลา ขอแค่ให้เขามีเวลาได้เจริญเติบโต เขาก็จักไม่ต้องหวาดหวั่นต่อสิ่งใด ๆ

ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับครั้นเขาอยู่ในโลกามนุษย์ เขาค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาทีละก้าว ก่อนเขาจะบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียน เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้สูงส่งในอดีตก็ไม่มีคนใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกเลย

ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ทุกอย่างเงียบสงบมาก ช่วงวันเวลาที่ผ่านมาหลัวซิวก็ไม่ได้ฝึกตนต่อเช่นกัน ผลการฝึกตนเพิ่งบรรลุถึงเซียนดินช่วงกลาง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลามาทำให้รากฐานแข็งขันมากยิ่งขึ้น

เขาใช้ไร้ลักษณ์ทำให้การตระหนักรู้ในก่อนหน้านี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น รวมตรีภพ วัฏสงสารและลิขิตเป็นหนึ่ง ซึ่งสามารถริเริ่มเคล็ดวิชาพลังอมตะที่พลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองวิชาหนึ่งออกมาได้

ผลล้ำธรรมเวชที่นับไม่ถ้วนในตัวหยั่งรู้ตัดสลับกัน ภูตเซียนชาตะของหลัวซิวอนุมานกันอย่างไม่หยุดหย่อน จนค่อย ๆ ประกอบเป็นรูปเป็นร่างเล็กน้อยแล้ว

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า หลัวซิวหลอมรวมตราหวูจี๋ในเวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่างเข้าไปภายในเคล็ดวิชาพลังอมตะดังกล่าว ยึดตราหวูจี๋เป็นพื้นฐาน ปลุกเสกการตระหนักรู้ของเกณฑ์สูงศักดิ์ทั้งสามแล้วหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง

“เรียกพลังอมตะวิชานี้ว่าหวูจี๋ก็แล้วกัน”

“เริ่มจากเข้าล็อกเดิม ตามมาด้วยหวูจี๋ หลังจากตราหวูจี๋ดั้งเดิมถูกข้าอนุมานและปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง มันก็อยู่เหนือตราหวูจี๋ในเวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่างแล้ว”

ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มือของหลัวซิวกำลังประสานอินกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดสามชนิดปรากฏหลังศีรษะเขา

ไท่จี๋อนัตกาลแห่งลิขิต ไท่จี๋เสวียนแท้แห่งตรีภพ ธรรมจุติมรณะแห่งวัฏสงสาร……

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งสามหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง จากนั้นก็มีพลานุภาพที่ไร้ขอบเขตผนึกรวมกันกลางฝ่ามือหลัวซิว แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกว่าถ้าเกิดปลดปล่อยพลังโจมตีนี้ออกไป มันสามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่งในโลก พังทำลายธรรมเวชทั้งปวง!

“ทรงพลังกว่าตราเข้าล็อกเดิมมาก”

หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจมาก เมื่อโอกาสมันจะมา ไม่ว่าจะต้านทานอย่างไรก็ต้านทานไม่อยู่ จักมีคนใดคาดถึงบ้างเล่าว่าเขาแปลงกายเป็นศิษย์สำนักเซียนเพื่อหลบหนีการไล่ล่าจากเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์ แต่สุดท้ายกลับได้รับความโชคดีในความโชคร้าย ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์ปู่เสวียนแท้ จนได้รับแก่นสารของไท่จี๋อนัตกาลและไท่จี๋เสวียนแท้

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเหมือนตัวเองจะออกจากขอบเขตของภูมิภาคขีดจัตุ เข้าสู่ภูมิภาคสามยอดที่อยู่ติดกับภูมิภาคขีดจัตุแล้ว

อะไรคือสามยอด? ยอดมนุษย์ ยอดดิน ยอดฟ้า ดินทัณฑ์มนุษย์ ฟ้าทัณฑ์ดิน เต๋าทัณฑ์ฟ้า ธรรมชาติทัณฑ์เต๋า

ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ของภูมิภาคสามยอดจึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สามยอด ซึ่งไม่เหมือนหกเผ่าพันธุ์บรรพกาลแต่อย่างใด และมีการแบ่งออกเป็นนิกายมนุษย์ นิกายดินและนิกายฟ้าด้วย

“ในเมื่อสหายท่านนี้เดินทางผ่านก็เท่ากับมีวาสนา ไยจึงไม่ลงมาพูดคุยกันหน่อยเล่า?”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนเข้าไปในหูหลัวซิว ในหมู่ภูเขาที่อยู่ด้านล่าง มียอดเขาลูกหนึ่งที่มีหมอกเซียนลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป และมีเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวรวมตัวกันอยู่บนยอดเขาดังกล่าว

เขาโบยบินอยู่กลางอนัตตา แต่ก็ยังถูกผู้อื่นสังเกตเห็นอยู่ดี แค่มองจากจุดนี้ก็สามารถดูออกแล้วว่าศักยภาพของผู้ที่ส่งเสียงพูดคุยกับเขาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

“ข้าออกจากภูมิภาคขีดจัตุแล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้น เผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์และชนเผ่าดึกดำบรรพ์ต้องคิดว่าข้ายังอยู่ในภูมิภาคขีดจัตุแน่นอน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ลงไปดูหน่อยก็ไม่เป็นอะไร”

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงควบคุมเข็มทิศสาส์นเต๋าลอยลงไปจากท้องฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาที่มีหมอกเซียนลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป

ป่าเขาแห่งนี้มีภูเขาหลายลูกที่งดงามเชื่อมต่อกัน ทิวทัศน์บรรยากาศเลิศเลอ หมอกเซียนที่ลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไปเหมือนดั่งหมอกควัน ได้ยินเสียงไหลรินที่ไพเราะของสายน้ำดังก้องอยู่ระหว่างกลุ่มภูเขา ซึ่งเงียบสงบและสวยงามมาก

ยอดเขาเขาเซียนลูกนี้ไม่กว้างเท่าไหนนัก มีก้อนหินรูปทรงแปลกประหลาดเยอะมาก และมีดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วสนามหญ้า เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวที่หล่อเหลางดงามกำลังนั่งอยู่บนพื้น ด้านหน้าทุกคนล้วนมีโต๊ะวางอยู่หนึ่งตัว บนโต๊ะมีผลทิพย์เหล้าดีวางอยู่

เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่เป็นการชุมนุมระหว่างหนุ่มสาวเหล่านี้ ผู้ที่เป็นผู้นำคือชายที่อยู่ในชุดขาวคนหนึ่ง เสื้อผ้าปลิวลอยไปพร้อมกับสายลม ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตร เขากำลังอมยิ้ม ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เมตตาดีมาก ๆ

เมื่อเห็นหลัวซิวลอยลงยอดเขา ชายหนุ่มชุดขาวที่เป็นผู้นำก็ค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น ส่วนสีหน้าอารมณ์ของคนที่เหลือกลับดูมึนงง ทว่าสุดท้ายก็ล้วนลุกขึ้นยืนเช่นกัน

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว หลัวซิวก็รู้แล้วว่าขณะที่เขาบินผ่านเหนือนภา ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในนี้ มีเพียงชายหนุ่มชุดขาวนั่นคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสเขาได้ ส่วนคนอื่นที่เหลือล้วนสัมผัสไม่ได้เลย

ฉะนั้นเมื่อเขาปรากฏที่นี่ คนอื่นที่เหลือถึงได้แสดงสีหน้าที่ดูประหลาดใจออกมา

“การที่สหายยอมไว้หน้านั้น ข้าน้อยฉือเฟยหลงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”ชายหนุ่มชุดขาวเกรงใจมาก ก่อนจะเชิญชวนให้หลัวซิวไปนั่ง

ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นฉือเฟยหลงนี่ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาเหมือนผู้นำของเผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์มาก ๆ ทว่ากิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน ท่าทีดูไม่เหมือนคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เลยแม้แต่น้อย

“สหายฉือเกรงใจเกินไปแล้ว”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ จากนั้นก็นั่งลงบนที่นั่งว่างที่หนึ่ง

“ไม่ทราบว่าสหายชื่ออะไรหรือ?”เมื่อเห็นหลัวซิวนั่งลงกับที่ ฉือเฟยหลงจึงยิ้มพลางถาม

เมื่อถามคำถามดังกล่าวออกมา คนอื่นที่เหลือก็ยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้น พวกเขาเห็นว่าขณะที่คนดังกล่าวลอยลงมาจากฟ้า ฉือเฟยหลงได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ จึงคิดว่าหลัวซิวเป็นศิษย์ถ่ายทอดจากกองกำลังใหญ่กองกำลังหนึ่งเสียอีก แต่กลับไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าฉือเฟยหลงจะไม่รู้จักคนดังกล่าวมาก่อน

“ข้าน้อยหลัวซิว เป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่ง”หลัวซิวก็ยิ้มพลางตอบกลับเช่นกัน

“เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์เป็นเส้นทางที่ยาวไกลจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด ใช่ว่ากองกำลังที่กำเนิดจะเป็นตัวตัดสินผู้แข็งแกร่งหนึ่งคนเสมอไป”ฉือเฟยหลงหัวเราะเบา ๆ ราวกับมีจิตใจที่กว้างขวางมาก

“นี่เป็นเพียงงานชุมนุมเล็ก ๆ ของเหล่าวัยรุ่นยุคใหม่แห่งภูมิภาคสามยอดของเรา สหายหลัวตามสบายได้เลยนะ”หลังจากพูดจบ ฉือเฟยหลงก็ผายมือทำท่าเชิญ

หลัวซิวพยักหน้า จากนั้นก็เทเครื่องดื่มแก้วหนึ่ง เครื่องดื่มหอมละมุน หอมจนซึมซาบเข้าไปในหัวใจ หลังจากดื่มแล้วก็ชุ่มคอมาก

เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่ง จึงไม่มีผู้ใดเข้ามาทักทายเขาอีก เนื่องจากเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้ที่กำเนิดจากกองกำลังใหญ่ทั้งหลายแห่งภูมิภาคสามยอด

แม้นฉือเฟยหลงจะบอกว่ากองกำลังที่กำเนิดไม่ใช่ตัวตัดสินผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง แต่ในมุมมองของคนส่วนมาก นี่ก็เป็นเพียงคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเกรงใจเท่านั้นแหละ ในภูมิภาคสิบลี้แห่งโลกเซียน กองกำลังที่กำเนิดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นอกเสียจากเจ้าจะบรรลุเป็นเซียนสูงสุดแล้ว

แต่ทว่าแม้นจะเป็นเซียนสูงสุด หากเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนอิสระตนหนึ่ง ก็ไม่กล้าไปรุกรานกองกำลังใหญ่ทั้งหลายง่าย ๆ เช่นกัน

จากบทสนทนาของเหล่าวัยรุ่นหัวสูง หลัวซิวทราบมาว่าฉือเฟยหลงกำเนิดจากนิกายฟ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สามยอด และยิ่งเป็นเทพบุตรแห่งนิกายฟ้า ถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่แห่งภูมิภาคสามยอด

“ศิษย์พี่เฟยหลงและรู้จักท่านชายหลัวนั่นได้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”

สตรีที่งดงามดั่งบุปผานางหนึ่งรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ยิ้มพลางมองหน้าฉือเฟยหลงพลางถาม

ภายในเวลาชั่วขณะ คนจำนวนไม่น้อยจึงหันไปมองด้วยความรู้สึกสงสัย ต่างอยากรู้มาก ๆ ว่าจากตัวตนของฉือเฟยหลง ไยจึงต้องเชื้อเชิญผู้บำเพ็ญตนอิสระไร้ชื่อตนหนึ่งมาเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ด้วย

“เหอะ ๆ ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบ ขณะที่เรารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เมื่อครู่สหายหลัวได้ควบคุมแสงกลเคลื่อนผ่านเหนือนภาเราไป……”ฉือเฟยหลงยิ้มพลางพูด

“ห๊ะ?”

สตรีที่ถามนั่นอุทานอย่างตะลึง คนอื่นที่เหลือก็ล้วนแสดงสีหน้าที่ดูประหลาดใจ ก่อนจะพากันมองไปทางหลัวซิว

เพราะพวกเขาฟังนัยยะแฝงในคำพูดของหลัวซิวออกอยู่ นั่นก็คือหลัวซิวนี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เขาเคลื่อนไหวผ่านเหนือนภาพวกเขาไป ซึ่งมีเพียงฉือเฟยหลงคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสได้ แต่พวกเขากลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“โอ๊ะ? ไม่นึกเลยว่าสหายหลัวท่านนี้จะไม่ธรรมดาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าผลการฝึกตนอยู่ระดับใด? แล้วได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากอาจารย์ท่านใดหรือ?”

จู่ ๆ ชายหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากฉือเฟยหลงก็มองหน้าหลัวซิวแล้วถาม

จากบทสนทนาในเมื่อครู่นี้ของคนเหล่านี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มร่างยักษ์นั่นมีนามว่าป๋ายหลี่คงหมิง ซึ่งกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์สามยอดเช่นกัน แต่ไม่ใช่ศิษย์ในนิกายฟ้าแต่อย่างใด แต่เป็นเทพบุตรแห่งนิกายดิน

แดนศักดิ์สิทธิ์ขีดจัตุมีสี่วัง ในทุกวังล้วนมีเทพบุตรและเทพธิดา แดนศักดิ์สิทธิ์สามยอดมีฟ้าดินมนุษย์สามนิกาย ในขณะเดียวกันทุก ๆ นิกายก็มีเทพบุตรและเทพธิดาเช่นกัน

ฉือเฟยหลงเป็นผู้ริเริ่มงานชุมนุมในครั้งนี้ ตัวตนของเขาคือเทพบุตรแห่งนิกายฟ้า เทพบุตรเทพธิดาของอีกสองนิกายที่เหลือย่อมต้องไว้หน้าเขาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

อีกทั้งหลัวซิวก็ดูออกเหมือนกันว่าสามนิกายแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สามยอดไม่ได้สามัคคีกันแต่อย่างใด อย่างน้อยป๋ายหลี่คงหมิงนี่ก็ไม่ค่อยถูกกับฉือเฟยหลง

“ผลการฝึกตนของข้าน้อยไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงหรอก ในส่วนของอาจารย์นั้น ข้าน้อยก็บอกไปแล้วว่าข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่ง ไม่มีอาจารย์แต่อย่างใด”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้

“ฮ่าฮ่า เหตุใดสหายหลัวจึงต้องถ่อมตัวเช่นนี้ด้วยเล่า? การที่เจ้าสามารถทำให้ศิษย์พี่เฟยหลงให้ความสนใจได้นั้น คาดว่าต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน งานชุมนุมในครั้งนี้แค่พูดคุยกันมันน่าเบื่อเกินไป เจ้ามาประลองกับข้ายกหนึ่งเพื่อกระตุ้นบรรยากาศหน่อยเป็นอย่างไร?”

ป๋ายหลี่คงหมิงลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวมาก แต่หลัวซิวกลับมองเห็นความเยือกเย็นเสี้ยวหนึ่งได้จากแววตาเขา

เมื่อเห็นลักษณะท่าทีนี้ของป๋ายหลี่คงหมิง ผู้คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุจะไม่รู้จุดประสงค์ของเขาได้อย่างไร?

มูลเหตุก็เป็นเพราะฉือเฟยหลงเป็นผู้เชิญชวนหลัวซิวนี่มา หากป๋ายหลี่คงหมิงสามารถโค่นล้มหรือทำให้เขาบาดเจ็บได้ ก็เท่ากับหักหน้าฉือเฟยหลงในงานชุมนุมในครั้งนี้

เป็นเพียงศึกแห่งการแย่งภาพลักษณ์หน้าตาเท่านั้น เนื่องจากหลัวซิวเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่ง เบื้องหลังไม่มีกองกำลังที่น่ากลัว ดังนั้นจึงถูกม้วนพัดเข้าไปในมรสุมในครั้งนี้

มีคนใช้หางตาเหล่มองไปทางฉือเฟยหลง อยากดูว่าปฏิกิริยาของเทพบุตรแห่งนิกายฟ้าจักเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตามฉือเฟยหลงกลับยังคงสุขุมมาก ๆ ยังอมยิ้มเหมือนเคย ดูลึกซึ้งมากจนคาดเดาไม่ค่อยได้

เขาไม่ได้ห้ามปราม แต่ก็ไม่ได้พยักหน้าเช่นกัน ไม่พูดอะไรสักคำ

......

“ข้าน้อยผลการฝึกตนต้อยต่ำ ไม่ประมือด้วยจะดีกว่า”

หลัวซิวไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม

“หรือว่าสหายหลัวจะดูถูกข้าป๋ายหลี่คงหมิง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ