สรุปตอน บทที่ 3143 ประมุขเซียนที่น่ากลัว – จากเรื่อง มหายุทธ์ สะท้านภพ โดย หลงเซียว-มังกรคำราม
ตอน บทที่ 3143 ประมุขเซียนที่น่ากลัว ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง มหายุทธ์ สะท้านภพ โดยนักเขียน หลงเซียว-มังกรคำราม เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ร่างสูงสามเมตรกว่า กำลังรบไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้เขาเลย
ด้วยผลการฝึกตนเซียนดิน สังหารเซียนชั้นฟ้าได้ง่ายปานฆ่าหมูฆ่าหมา ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากจริง ๆ
เมื่อเห็นศิษย์จำนวนมากของภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหาร ตงฟางหยุนเซิงจักนิ่งดูดายต่อไปได้อย่างไร ก่อนจะเรียกดาบเซียนสูงสุดที่เทพบุตรทุกรุ่นได้สืบทอดออกมา ดวงแสงดาบเปล่งแสงแพรวพราย ผ่าสับลงกลางศีรษะ
ในขณะเดียวกัน ราชาเซียนทั้งหกตนก็ล้วนลงมือโจมตีเช่นกัน ทุกตนล้วนเป็นราชาเซียนที่กำเนิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าราชาเซียนทั้งสองแห่งสำนักเซียนเจ็ดดาวที่เจอในงานประมูลมาก ๆ
ต่างเป็นราชาเซียนเหมือนกัน สาเหตุที่หลัวซิวสามารถทำให้ต้วนหย่งบาดเจ็บสาหัสในงานประมูลได้อย่างง่ายดายนั้น เป็นเพราะราชาเซียนก็มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอเช่นกัน
ราชาเซียนที่กำเนิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์พลังอมตะที่ฝึก หรือพรสวรรค์กำลังรบส่วนบุคคล ก็ล้วนแต่อยู่เหนือราชาเซียนธรรมดา
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เพราะเหตุใด ครั้นหลัวซิวสังหารราชาเซียนที่ไล่ล่าเมี่ยวหลิงจึงทำได้ยากลำบากเช่นนั้น
“เข้าล็อกเดิม!”
แสงเซียนที่แวววาวจับตาถึงขีดสุดผนึกรวมกัน แต่ครั้งนี้พวกมันกลับไม่ได้ผนึกรวมกันที่ตัวหลัวซิว แต่ผนึกรวมกันบนดาบหักเซียนที่อยู่ในมือเขา
อานุภาพแห่งดาบหักเซียนเทียบทัดภัณฑ์จักรพรรดิ และยิ่งแข็งแกร่งกว่าภัณฑ์จักรพรรดิธรรมดาด้วย เมื่อปลุกเสกด้วยพลังอมตะเข้าล็อกเดิม พลานุภาพที่สามารถกระตุ้นออกมาได้จึงน่าสยดสยองอย่างยิ่ง!
“เตี๊ยงง!”
ฟาดฟันดาบครั้งหนึ่ง ดาบเซียนสูงสุดที่ตงฟางหยุนเซิงเรียกออกมาก็ถูกฟันจนกระเด็นออกไป รอยร้าวเล็ก ๆ ที่เคยถูกดาบหักเซียนฟันจึงขยายใหญ่ขึ้นภายในพริบตา
พลังโจมตีของราชาเซียนทั้งหกมาถึงแล้ว หลัวซิวยังคงสุขุมเรียบนิ่ง ภาชนะติ่งปีศาจมังกรปรากฏเหนือศีรษะ แล้วทำการต้านรับพลังโจมตีทั้งหมดเอาไว้
ภาชนะติ่งปีศาจสั่นเทิ้ม พลังที่น่ากลัวเคลื่อนผ่านภาชนะติ่งปีศาจแล้วส่งตรงถึงตัวหลัวซิว ทำให้มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเขา
เขาเลือกที่จะมองข้ามราชาเซียนทั้งหก ตัวสำนึกที่ผันมาจากพลังวิญญาณผนึกไปที่ตงฟางหยุนเซิง เงาร่างกระพริบครั้งหนึ่ง เคลื่อนที่ด้วยการเทเลพอร์ต ก่อนจะมาถึงหน้าตงฟางหยุนเซิงภายในเสี้ยววินาทีเดียว
“โครม! โครม! โครม! ……”
ฟาดฟันดาบหักเซียนที่อยู่ในมือเขาต่อเนื่อง ร่างที่สูงสามเมตรกว่าอันแน่นไปด้วยพลังออร่าอันแข็งแกร่ง ทุกการโจมตีล้วนทำให้ตงฟางหยุนเซิงถอยหลังกลับ พลางกระอักเลือดอย่างไม่หยุดหย่อน ส่วนรอยร้าวของดาบเซียนสูงสุดที่อยู่ในมือเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วย ทำให้เขาทั้งตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว
“ไยศักยภาพของมึงจึงแข็งแกร่งเช่นนี้?”
ตงฟางหยุนเซิงรู้สึกตะลึงงันมากจริง ๆ เขาจำได้ว่าครั้งก่อนขณะตนประมือกับหลัวซิว ศักยภาพของเขายังแตกต่างจากปัจจุบันมาก ๆ
และนี่เพิ่งผ่านไปแค่กี่ปีเอง ความเร็วในการเจริญเติบโตของมันน่าทึ่งเกินไปแล้วกระมัง!
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าจำเป็นต้องกำจัดกากเดนเผ่าไท่ซ่างคนนี้ทิ้งให้ได้ ความเร็วในการเจริญเติบโตที่น่าสยดสยองเช่นนี้ คาดว่าอนาคตเขาอาจกลายเป็นไท่ซ่างอวี้คนที่สอง!
นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อปีก่อน หลังจากไท่ซ่างอวี้บรรลุเป็นมกุฎเซียน อำนาจบารมีของเขาก็ได้แผ่คลุมทั้งภูมิภาคสิบลี้ กดอัดจนภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์แทบจะหายใจไม่ออก แทบจะแสดงบุคลิกลักษณะที่มีเสน่ห์เหมือนจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างที่เป็นผู้ไร้เทียมทานในยุคบรรพกาลแล้ว!
“ตู้มม!”
กำปั้นของหลัวซิวทุบลงบนใบหน้าตงฟางหยุนเซิงอย่างดุดัน ทำให้เขาถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปปานดาวหาง แล้วพุ่งชนเข้ากับยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปจนพังทลายลงมา เศษก้อนหินระเบิดแตกเป็นฝุ่นผง
ขณะที่เขาไล่ล่าตงฟางหยุนเซิง พลังโจมตีของราชาเซียนทั้งหกก็ไม่ได้หยุดลงเช่นกัน พลังอมตะที่แข็งแกร่งและภัณฑ์เซียนผู้ชนะที่นับไม่ถ้วนโจมตีสังหารเข้ามา มาตรแม้นว่ามีเกราะป้องกันจากภาชนะติ่งปีศาจมังกร ก็ทำเอาหลัวซิวถูกโจมตีจนกระอักเลือดอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกัน สภาพอาการบาดเจ็บไม่ได้ดีไปกว่าตงฟางหยุนเซิงเท่าไหร่นัก
แต่หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเขาไม่มีทางต้านทานผู้แข็งแกร่งที่มากมายขนาดนี้พร้อมกันได้ เขาจึงทำได้เพียงอาศัยข้อได้เปรียบของตัวเอง ค่อย ๆ จัดการทีละคน ใช้บาดแผลแลกบาดแผล
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาเร็วปลายสายฟ้า ราชาเซียนทั้งหกร่วมมือกันผนึกห้วงเวลา ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมพลังแห่งเกณฑ์ห้วงเวลา ทว่าเมื่ออาศัยร่างที่สูงสามเมตรกว่าของธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาก็ยังคงรวดเร็วมากจนฝ่ายตรงข้ามยากที่จะจับกุมได้ กำลังรบเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัว
“ตู้มม!”
เขาย่ำเท้าลงไป เหยียบย่ำใบหน้าของตงฟางหยุนเซิง ทำให้ทั้งศีรษะของตงฟางหยุนเซิงจมลงไปในพื้น พลังที่น่ากลัวผันเป็นคลื่นพลังโจมตีทำให้พื้นดินรอบ ๆ ทรุดตัวลงไป จนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!”
หลัวซิวลงมือได้เหี้ยมโหดถึงขีดสุด เป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะตงฟางหยุนเซิงเรียกเกราะสงครามสีเขียวทองชิ้นหนึ่งออกมา เกรงว่าคงถูกโจมตีจนร่างระเบิดแตกเป็นหมอกเลือดตั้งนานแล้ว
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ ตงฟางหยุนเซิงก็ถูกเขากระทืบจนหายใจโรยรินเช่นกัน
“เพล้ง!”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็เปลี่ยนเป้าหมาย เขาไม่ได้โจมตีตงฟางหยุนเซิงต่อ แต่เป็นการกำดาบหักเซียนแล้วฟาดฟันไปทางกระจกเซียนที่ใช้สะกดรอยเผ่าไท่ซ่างโดยเฉพาะ
เสียงใสที่ไพเราะสะท้อนออกมา สีหน้าของตงฟางหยุนเซิงเปลี่ยนไปอย่างมาก เห็นเพียงบนกระจกเซียนบานนั้นถูกฟันจนเกิดเป็นรอยดาบหนึ่งจุด ก่อนรอยร้าวที่เหมือนดั่งใยแมงมุมจะแผ่ขยายไปทั่วกระจกอย่างรวดเร็ว
แล้วอานุภาพแห่งดาบหักเซียนจะธรรมดาได้อย่างไรเล่า ถูกหลัวซิวใช้ดาบฟันไปหลายที กระจกเซียนบานนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร อันที่จริงมันถูกทำลายจนแทบจะระเบิดแตกแล้ว
และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง หลัวซิวถึงได้เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วหลบหนี เนื่องจากหากเขายังไม่หนีอีกละก็ เขาก็ใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
อย่างไรเสียเขาก็ต้องฝืนต้านทานพลังโจมตีของราชาเซียนทั้งหก ทั้งยังต้องโคจรภัณฑ์จักรพรรดิสองชิ้นพร้อมกันด้วย การที่เขาสามารถยืนหยัดมาจนถึงวินาทีใดนั้น ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
เมื่อไม่มีกระจกเซียนที่มีความสามารถในการตามสะกดรอยสุดพิเศษ ต่อให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของราชาเซียนจะรวดเร็วอย่างยิ่ง หลัวซิวก็สามารถอาศัยอุบายไร้ลักษณ์ไร้รูปอำพรางอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร เสมือนมังกรเจียวที่หวนคืนสู่มหาสมุทร ยากที่จะสืบหาเบาะแสร่องรอย
อย่างไรก็ตามในขณะที่หลัวซิวยังหนีออกไปได้ไม่ไกล จู่ ๆ ก็มีรอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏกลางนภา แล้วแผ่ขยายออกไป ราวกับมังกรแท้สีดำกำลังลอยอยู่ตรงขอบฟ้า
อนัตตาถูกฉีกกระชากออก จากนั้นก็มีเงาร่างที่น่ากลัวจุติลงมา
คนดังกล่าวล้วนถูกปกคลุมอยู่ในแสงเซียน มองไม่เห็นใบหน้า สัมผัสได้เพียงอำนาจบารมีอันน่ากลัวที่ไร้ขอบเขตปกคลุมไปทั่วฟ้า
“ประมุขเซียน!”
หลัวซิวตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี ครั้นอยู่ในสถานแห่งกระดูกฝัง เขาเคยได้พบเห็นศึกสงครามของระดับประมุขเซียน ซึ่งเขาสัมผัสพลังออร่าที่เป็นทำนองเดียวกันได้จากอำนาจบารมีที่แผ่กระจายออกมาจากเงาร่างดังกล่าว
ประมุขเซียน เป็นผู้แข็งแกร่งที่จะพบได้แค่ในกองกำลังใหญ่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ในยุคสมัยที่เซียนสูงสุดซ่อนเร้นจากโลกาภายนอก มกุฎเซียนไม่บังเกิด ประมุขเซียนทุกตนล้วนเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถทำให้ภูมิภาคหนึ่งสั่นสะเทือน
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หลัวซิวยังสัมผัสท่วงเซียนของวิถีภูตศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ที่แพรวพรายดั่งอำนาจสวรรค์ได้จากเงาร่างที่น่ากลัวนั่นได้ด้วย
นี่ต้องเป็นประมุขเซียนตนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ภูตศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน การที่เขาย่างกรายมาด้วยตนเองนั้น ต้องเป็นเพราะจะมาจับกุมสังหารเขาแน่นอน!
“ให้เกียรติกูมากเลยนี่ แค่จัดการเซียนดินเล็ก ๆ อย่างกู แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเซียนก็ถึงขั้นออกโรงแล้วรึ”
มีความโกรธเกรี้ยวที่ขมขื่นปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ที่ขมขื่นเพราะเขาอ่อนแอมากเกินไป และที่โกรธเกรี้ยวก็เป็นเพราะเขาไม่มีเวลาเจริญเติบโตที่เพียงพอ
จากแดน ณ ปัจจุบันของเขา ใช้ไร้ลักษณ์ไร้รูปสามารถหลอกตาและกระแสสัมผัสของราชาเซียนได้อยู่ แต่กลับไม่มีทางหนีการค้นหาของประมุขเซียนได้อย่างแน่นอน
เข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ ครั้งนี้เขาคงหนีหายนะได้ยากแล้วล่ะ
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาทางเขา ณ เสี้ยววินาทีนี้ เขารู้สึกว่าห้วงเวลาที่อยู่รอบ ๆ ราวกับหยุดนิ่งไปแล้วยังไงอย่างนั้น กฎทวยเทพธรรมเสมือนสลายหายไป ราวกับร่างกายเขาถูกตะปูตอก ขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
Good...
ทำไมอ่านต่อไม่ได้...
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...