พลังของสายฟ้าเซียนที่อยู่ในร่างกายถูกกระตุ้นให้ระเบิด ร่างกายของหลัวซิวจึงระเบิดแตกเป็นฝุ่นผงภายในพริบตา เลือดเนื้อและกระดูกทั้งหมดล้วนถูกระเบิดจนแทบจะอยู่ในสภาวะฝุ่น
ดั่งคำกล่าวที่ว่าเก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา การเลื่อนระดับจากขั้นสามสู่ขั้นสี่ของร่างศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ ขั้นตอนสุดท้ายที่อันตรายที่สุดก็คือการหลอมสร้างกายา!
หลอมสร้างกายาหมายถึงการสร้างร่างกายกลับคืนมาใหม่ หากต้องการสร้างร่างกายให้กลับคืนมาใหม่ จึงย่อมต้องทำลายร่างกายดั้งเดิมทิ้งอยู่แล้ว ดั่งหลอมสร้างร่างทอง!
มีแสงทองที่แวววาวจับตาปรากฏ เสมือนม่านพลังสีทอง ทำการปกคลุมหมอกเลือดและเศษซากร่างกายของหลัวซิวเอาไว้
จากนั้นม่านพลังสีทองก็กดอัด หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดของธรรมเวชเกณฑ์สูงศักดิ์ทั้งสามประเภทปรากฏ
ไท่จี๋อนัตกาลลิขิต ไท่จี๋เสวียนแท้ตรีภพ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวดำเนินการอยู่นานมาก ความล้ำลึกของเกณฑ์สูงศักดิ์กลายเป็นตราอักษรฮู้จำนวนมาก แล้วหล่อเลี้ยงร่างเนื้อที่ใหม่เอี่ยมกลับคืนมา
สุดท้ายแสงทองทั้งหมดที่แวววาวจับตาก็ผนึกร่วมกัน ร่างกายที่ใหม่เอี่ยมล้วนถูกปกคลุมอยู่ในแสงทอง กล้ามเนื้อทุกมัดสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ย่างกรายสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์จวบจนปัจจุบัน ร่างกายของหลัวซิวเคยผ่านการแปรเปลี่ยนและยกระดับมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ท่ามกลางการแปรเปลี่ยนลอกคราบใหม่ในทุก ๆ ครั้ง ก็จะทำให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ สมบูรณ์แบบขึ้น
ถ้าเกิดบอกว่าร่างกายของเมี่ยวหลิงคือผลงานชั้นยอดของสวรรค์ คือความสมบูรณ์แบบที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
เช่นนั้นร่างกายของหลัวซิวก็คือร่างอันสมบูรณ์แบบที่เขาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนพัฒนาทีละก้าว และหลอมสร้างมันขึ้นมาด้วยพรแสวง!
แม้ใบหน้าของเขาจะดูไม่หล่อเหลามากขนาดนั้นก็ตาม พลานุภาพไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าคนใดที่พบเจอเขา ก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีจุดด่างพร้อยใด ๆ เลย ซึ่งในโลกใบนี้ การไม่มีจุดด่างพร้อยก็คือความสมบูรณ์แบบ
ยกมือโบกครั้งหนึ่ง เหล็กดำลึกลับก็ถูกหลัวซิวเก็บกลับเข้าที่ ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว สายฟ้าเซียนที่นับไม่ถ้วนก็พุ่งกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาจมหายไปในสายฟ้าเซียนภายในพริบตา
“โครม! โครม! โครม! ……”
“เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง!”
เสียงที่เหมือนการตีเหล็กดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน หลัวซิวกางแขนทั้งสองข้างออก ปล่อยให้แสงสายฟ้าที่ขาวเจิดจ้าโจมตีลงร่างกายตัวเองเต็มที่
แม้นเวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่างจะบรรลุถึงขั้นสี่ ร่างเนื้อเทียบเท่าภัณฑ์เซียนผู้ชนะ แต่พลังโจมตีของแสงสายฟ้าที่ขาวเจิดจ้าก็อยู่ในระดับเดียวกัน ฉะนั้นเขาก็ไม่สามารถมองข้ามพลังโจมตีทั้งหมดนี้ได้โดยสิ้นเชิงจริง ๆ
แต่เขากลับยังคงทำเช่นนี้ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คืออยากอาศัยแสงสายฟ้าในสถานที่แห่งนี้ ชุบร่างเนื้อของตัวเองต่อ
ทั้งร่างกายของหลัวซิวถูกแสงทองปกคลุม จากการชุบอย่างต่อเนื่องของแสงสายฟ้า ทำให้แสงทองที่อยู่บนตัวเขายิ่งอยู่ยิ่งเข้มข้นขึ้น ค่อย ๆ เหมือนถูกเพลิงอัคคีสีทองแผดเผา
ตอนแรกเริ่มเขายังถูกแสงสายฟ้าผ่าจนเนื้อปริอยู่ ต่อมาเมื่อมาถึงช่วงหลัง แสงสายฟ้าก็ค่อย ๆ ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว แค่สามารถสร้างรอยไหม้ไว้บนผิวหนังของเขา
กระทั่งต่อมา เขาก็เคลิบเคลิ้มอยู่ในแสงสายฟ้าที่สว่างเจิดจ้า ประหนึ่งเซียนสงครามผู้ล้ำเลิศตนหนึ่ง ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
การกลั่นร่างเหมือนหลอมอาวุธ อันที่จริงในหนังสือยุทธภัณฑ์ที่เขาได้รับครั้นอยู่ในโลกามนุษย์ ก็ได้บรรยายความล้ำลึกของวิถีกลั่นร่างเอาไว้แล้ว
ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการฝึกยุทธ์ การที่เวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่างบรรลุจากขั้นสามสู่ขั้นสี่ ก็เป็นเช่นเดียวกับเซียนชั้นฟ้าก้าวเข้าสู่ราชาเซียน เป็นช่วงสำคัญที่ก้าวจากสามแดนเซียนสู่มหาแดนเซียน
ร่างเนื้อบรรลุมรรคผลถึงแดนมหาแดนเซียน ดังนั้นพลังอมตะวิชาที่สองของเวทย์ต้องห้ามเลิศล้ำจึงถูกเปิดออก หมัดเต๋าถล่ม!
ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป สรรพเต๋าล้วยทลาย ซึ่งนี่ก็คือความล้ำลึกสูงสุดของพลังอมตะวิชาหมัดวิชานี้
หากต้องการเปิดใช้พลังอมตะที่สาม ก็มีเพียงทำให้ร่างเนื้อบรรลุถึงแดนที่เทียบเท่าแดนของภัณฑ์เซียนสูงสุด ถึงจะครบเงื่อนไขที่ต้องการ หรือฝึกเวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่างถึงขั้นที่เจ็ดนั่นเอง
การเลื่อนขั้นของแดนร่างเนื้อ ยังทำให้เขาควบคุมมหาอิทธิฤทธิ์อย่างธรรมลักษณ์ฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งสามารถผันเป็นร่างที่สูงเกือบหนึ่งร้อยเมตร หลังจากโคจรธรรมลักษณ์ฟ้าดิน กำลังรบก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ครั้นเป็นร่างที่สูงสามเมตรกว่า ธรรมลักษณ์ฟ้าดินก็ทำให้กำลังรบเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเช่นกัน แต่ทว่าแดนของเขาในตอนนั้นยังค่อนข้างต่ำ ต่อให้กำลังรบยกระดับขึ้นหลายเท่าตัว พลังที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ถือว่าเยอะเท่าไหร่นัก
แต่ปัจจุบันร่างเนื้อของเขาเทียบเท่าภัณฑ์เซียนผู้ชนะ หากสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว เช่นนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับพลังสูงกว่า กำลังรบที่เพิ่มขึ้นก็จะน่าสยดสยองมาก ๆ
สามารถพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลยว่า แค่อาศัยพลังร่างเนื้อในวินาทีนี้ หากหลัวซิวผันร่างเป็นร่างที่สูงเกือบร้อยเมตร เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำลายภัณฑ์เซียนชั้นยอดได้แล้ว!
มาตรแม้นว่าเป็นภัณฑ์เซียนผู้ชนะ หากปะทะกับเขาสิบถึงร้อยครั้ง ก็สามารถถูกกำปั้นเปล่า ๆ ของเขาโจมตีจนระเบิดแตกได้เช่นกัน!
ขั้นที่สี่ของร่างศักดิ์สิทธิ์หวูจี๋ไท่ซ่าง เข้าล็อกเดิม หวูจี๋ หมัดเต๋าถล่ม ควบคู่กับธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ปัจจุบันต่อให้ไม่อาศัยอานุภาพแห่งภัณฑ์จักรพรรดิ เขาก็สามารถสังหารราชาเซียนได้แล้ว
จากแดนผลการฝึกตนในปัจจุบันของข้า การที่ร่างเนื้อยกระดับขึ้นมาถึงแดนนี้ก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว หากต้องการยกระดับต่อ ก็จำเป็นต้องทำให้ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนที่สูงกว่านี้ก่อน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงไม่ยอมปล่อยให้เวลาเสียเปล่า ยังคงหยุดอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีแสงสายฟ้าสีขาวสว่างเจิดจ้าพลุกพล่าน กลืนกินโอสถสเซียนระดับดิน เพื่อยกระดับผลการฝึกตน
ฝึกตนอย่างไม่รู้วันรู้คืน เนื่องจากภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ได้ปิดผนึกเขตพื้นที่ส่วนใหญ่ของสมุทรสายฟ้าจิ่วเฟิงเอาไว้ จึงส่งผลให้เหล่ากองกำลังสำนักเซียนที่ปักหลักอยู่รอบสมุทรสายฟ้าจิ่วเฟิง ก็ไม่สามารถส่งคนเข้าไปในสมุทรอัสนีได้เช่นกัน
และภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ส่งผู้แข็งแกร่งเข้าไปตามหาเบาะแสของหลัวซิวในสมุทรอัสนีด้วย เนื่องจากตอนนั้นมีคนจำนวนมากได้มองเห็นกับตาตัวเองเลยว่า เขาได้พุ่งเข้าไปในสมุทรอัสนีขั้นที่ห้า แม้แต่กษัตริย์เซียนยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นง่าย ๆ เลย
ต่อให้ไม่มีเวทย์ต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างและเวทย์ต้องห้ามหวูจี๋ไท่ซ่าง หลัวซิวก็ไม่ได้ฝึกตนตามวรยุทธ์ในการถ่ายทอดสืบสานทุกขั้นทุกตอน แต่เป็นการรวมเข้ากับความเข้าใจของตัวเอง ดึงแก่นแท้ออกมา แล้วพัฒนาให้มันกลายเป็นของของตัวเอง
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้เขาสามารถฝึกการถ่ายทอดสืบสานทั้งหมดในเก้าต้องห้ามไท่ซ่างให้ขึ้นไปถึงแดนบริบูรณ์สูงสุด อย่างมากผลสำเร็จของเขาก็แค่เทียบเท่าจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างในยุคบรรพกาล ซึ่งไม่มีทางมีผลสำเร็จที่สูงยิ่งกว่า
ถ้าเกิดถามว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ความเข้าใจอันลึกซึ้งของหลัวซิวที่มีต่อวิถียุทธ์คืออะไร นั่นก็คือวิถียุทธ์นั้นไร้ขอบเขต!
คนส่วนมากล้วนอยากแสวงหาขั้นสูงสุดของวิถียุทธ์ แต่เขากลับรู้สึกว่าจอมยุทธ์ควรมีหัวใจที่สูงสง่าต่อวิถียุทธ์ ต้องพึงนึกไว้เสมอว่าวิถียุทธ์นั้นไร้ที่สิ้นสุด เช่นนี้ถึงจะสามารถปีนป่ายขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่าได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเจ้าย่างกรายถึงขั้นสูงสุดใดขั้นสูงสุดหนึ่ง เจ้าก็ต้องรู้ไว้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ขั้นสูงสุดที่เจ้าคิดเป็นเพียงสิ่งที่เจ้าคิดเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ขั้นสูงสุดของวิถียุทธ์ที่แท้จริงแต่อย่างใด
ในโลกเซียน ทุกคนล้วนคิดว่าจักรพรรดิเซียนคือขั้นสูงสุด แต่ในมุมมองของหลัวซิวกลับรู้สึกว่าบางทีจักรพรรดิเซียนอาจไม่ใช่ขั้นสูงสุดเสมอไป
“ด้วยวิถียุทธ์ของข้า จักย่างกรายสู่เก้าสวรรค์”
จู่ ๆ หลัวซิวก็ดื่มด่ำอยู่ในสภาวะที่ลึกลับและมหัศจรรย์มาก เขารู้สึกเหมือนจิตใจของตัวเองได้โบยบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เขากราดมองทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า สัมผัสกับกาลเวลาที่ล่วงเลยไป และการโรยราการถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของสิ่งมีชีวิต
วินาทีนี้เขารู้สึกว่าตัวเองก็คือสวรรค์ เป็นผู้ชี้ขาดในฟ้าดินแห่งนี้ ยึดกุมสิ่งมีชีวิตทุกตน ควบคุมทุกสรรพสิ่ง
แต่ในใจหลัวซิวกลับเข้าใจดีมากว่านี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดหลังผลการฝึกตนบรรลุ ที่เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยนั้น เป็นเพราะเขาคาดคะเนว่าอย่างมากสุดตัวเองก็แค่สามารถฝึกถึงแดนเซียนดินขั้นสูงสุด แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะก้าวเข้าสู่แดนเซียนชั้นฟ้าโดยปริยาย
และสาเหตุที่มีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะการตระหนักรู้ในแดนบนวิถียุทธ์ของเขา บรรลุถึงระดับที่เทียบเท่าหรืออยู่เหนือเซียนชั้นฟ้าแล้ว
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่าเซียนชั้นฟ้าสามารถตระหนักรู้และผลการฝึกตนทลายพันธนาการได้ภายในวันเดียว หลังจากแดนการตระหนักรู้ในสามแดนเซียนของเขาบรรลุถึงระดับความสูงที่แน่นอน พันธนาการของผลการฝึกตนก็แทบจะไม่คงอยู่แล้ว ขอแค่ฝึกตนถึงระดับที่แน่นอน ก็จะก้าวเข้าสู่แดนต่อไปโดยธรรมชาติ
สำหรับหลัวซิวที่เครียดกับการยกระดับผลการฝึกตนมาโดยตลอด เรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากอยู่แล้ว
“นี่คือเซียนชั้นฟ้าหรอกหรือ?”
หลัวซิวหลับตาลง ดื่มด่ำกับจิตเซียนอันมากมายมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย รวมไปถึงความรู้สึกที่เหมือนได้กราดมองทุกสิ่งมีชีวิต ควบคุมทุกสรรพสิ่ง!
ครั้นเขาเป็นเซียนดิน ก็สามารถต่อสู้กับเซียนชั้นฟ้าได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือเขายังไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนด้วย ปัจจุบันหลังจากเขาก้าวเข้าสู่เซียนชั้นฟ้า และสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาก็รู้สึกว่าพวกเซียนชั้นฟ้าก็กระจอกงอกง่อยไปเลย เขารู้สึกว่าวินาทีนี้หากมีเซียนชั้นฟ้าตนหนึ่งยืนอยู่หน้าเขา เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยซ้ำ แค่ใช้จิตนึกคิดก็สามารถใช้พลังวิญญาณทะลวงตัวหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้ามจนแตกสลาย ร่างตายธรรมสูญได้แล้ว
ปัจจุบันเขาก้าวเข้าสู่แดนเซียนชั้นฟ้า ซึ่งมีเพียงเหล่าราชาเซียนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ให้เขามองเป็นคู่ต่อสู้ มาตรแม้นว่าเป็นเหล่าเทพบุตรเทพธิดาในแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหลาย ก็ไม่เพียงพอที่จะให้เขามองเป็นศัตรู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...