มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3163

สามารถพูดได้เลยว่าเส้นทางการฝึกยุทธ์ในภพชาตินี้ของหลัวซิว แข็งแกร่งขึ้นมาได้ด้วยการเหยียบย่ำซากศพของผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะที่นับไม่ถ้วน คู่ต่อสู้แดนเดียวกันทั้งปวงที่เขาเคยประสบพบเจอในก่อนหน้านี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้เลย

เขาเข้าใจหลักการเหนือฟ้ายังมีฟ้าดีมาก ๆ ฉะนั้นเมื่อเขาที่อยู่ภายใต้แดนเดียวกันถูกเงาร่างแสงเขียวโจมตี ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้

แต่แค่รู้สึกไม่ค่อยพอใจ

พอจะพูดได้เลยว่าสภาพจิตใจเช่นนี้เป็นความดื้อรั้นอย่างหนึ่ง และเป็นคุณสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งควรมีเช่นกัน

“สาเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบในทุก ๆ ด้านนั้น ใช่ว่าความเร็วจะเร็วกว่าข้าเสมอไป แต่ทักษะในการต่อสู้อยู่เหนือข้า”

จากความสามารถในการตระหนักรู้ของหลัวซิว เขาค้นพบปัญหาของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาในอดีตจึงไม่เคยพบปัญหานี้เลย นั่นก็เป็นเพราะเขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้มาก่อน

การแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบของคนคนหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังโจมตีหรือการป้องกันหลบเลี่ยง ล้วนจะมีความคิดผุดขึ้นมาในหัวก่อน จากนั้นร่างกายถึงจะปฏิบัติตามความคิดดังกล่าว

ความคิดของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ว่องไวและเฉียบแหลมมาก ร่างกายตอบสนองได้รวดเร็วอย่างยิ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วทันทีที่มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว ร่างกายก็ปฏิบัติตามความคิดนั้นเลย

แต่ไม่ว่าปฏิกิริยาของร่างกายจะรวดเร็วมากเพียงใด ทว่าสุดท้ายแล้วภายในช่วงระยะห่างอันเล็กน้อยนั่น ร่างกายก็จะตอบสนองตามหลังความคิดอยู่ดี ไม่ว่าช่วงระยะเวลาของทั้งสองขั้นตอนนี้จะสั้นมากเพียงใดก็ตาม สุดท้ายก็จะมีความแตกต่างเรื่องเวลาอยู่ดี

ทว่าเหมือนการต่อสู้ของเงาร่างแสงเขียวนั่นจะไม่มีความแตกต่างเรื่องเวลาที่กล่าวถึงเลย ดังนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ความเร็วและศักยภาพของทั้งสองสูสีกัน ช่วงระยะความต่างอันเล็กน้อยนี้ก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐตาย ช่วงระยะความต่างอันน้อยนิดถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขอบเขต

แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะทำอย่างนั้นได้?

หลัวซิวไม่ได้ไตร่ตรองนานมากนัก เขาก็มีคำตอบในใจแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสัญชาตญาณ

ทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายเปลี่ยนเป็นสัญชาตญาณ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดใด ๆ ด้วยซ้ำ ร่างกายก็จะตอบสนองตามสถานการณ์การต่อสู้เองโดยธรรมชาติ เช่นการโจมตี ป้องกันหรือหลบเลี่ยง ตลอดจนควรกระตุ้นพลังอมตะวิชาใดเมื่อไหร่ ต้องเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสัญชาตญาณทั้งหมด!

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงเมื่อลงมือทำแล้วมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก หลัวซิวเคยผ่านการต่อสู้มามากจนนับไม่ถ้วน อันที่จริงเขาก็มีสัญชาตญาณเช่นนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงาร่างแสงเขียว ก็ยังแตกต่างกันไม่น้อยเลย

อย่างน้อยเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้การปลดปล่อยพลังอมตะ ป้องกันและหลีกเลี่ยงพลังโจมตีกลายเป็นสัญชาตญาณได้

อย่างมากสุดสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงทำให้ตอบสนองพลังโจมตีตามสถานการณ์

ถ้าเกิดแบ่งการตอบสนองประเภทนี้เป็นแดนละก็ จะสามารถแบ่งออกเป็นขั้นปฐมภูมิ สำเร็จน้อย บรรลุผลและบริบูรณ์สี่แดน หลัวซิวรู้สึกว่าอย่างมากสุดเขาก็แค่นับเป็นสำเร็จน้อย ส่วนเงาร่างแสงเขียวกลับอยู่ไม่ต่ำกว่าบรรลุผลแล้ว

เมื่อค้นพบปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญ จิตใจของหลัวซิวจึงเบิกบานขึ้นมาภายในพริบตา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน มีปณิธานรบที่แข็งแกร่งตลบฟุ้งออกมาจากร่างกาย แววตาผนึกไปที่เงาร่างที่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงเขียวที่ขมุกขมัวนั่น

เส้นทางแห่งสำนักเซียน เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ในแต่ละด่าน โค่นล้มเจ็ดเซียนจอมพลตระเวนเขียว จึงสามารถพูดได้เลยว่ามีกำลังรบเท่ามหิทธิมกุฎเซียนครั้นเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ

สตรีงามเพริศพริ้งนั่นอยู่เหนือมกุฎเซียน ยิ่งกว่านั้นคือนางอาจจะมีกำลังรบเท่าจักรพรรดิเซียนครั้นเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิแล้ว

อย่างไรก็ตามเงาร่างแสงเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้มีผลการฝึกตนเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิเช่นกัน ทว่ากลับแข็งแกร่งกว่าสตรีงามเพริศพริ้งนั่นมาก ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งเงาร่างแสงเขียวร่างนี้เอาไว้ ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในหมู่จักรพรรดิเซียนอย่างแน่นอน!

“เจ้ายังอยากพยายามดูอีกหรือ?”

มองไม่เห็นใบหน้าของเงาร่างแสงเขียว น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งและมีความสุขุมปนอยู่ด้วย ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ธรรมดาทั่วไปมาก ๆ

“เจ้ามีวุฒิจักรพรรดิ อนาคตมีโอกาสย่างกรายสู่แดนจักรพรรดิเซียนไม่น้อยเลย หากชีวิตอยู่ในนี้ มันจักน่าเสียดายมากไปหน่อย”

เงาร่างแสงเขียวถอนหายใจเบา ๆ “หากเจ้าถอยไปบัดนี้ ยังสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ หากดึงดันที่จะฝ่าฟันต่อ ข้าจักปฏิบัติตามปณิธานที่ข้าเคยทิ้งไว้ จักไม่ออมมือให้เจ้าอีกแล้ว”

“โชคชะตาอยู่ในกำมือข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องออมมือ”

หลัวซิวไม่ได้เปลี่ยนแปลงเจตนาดั้งเดิมของตนเองเพียงเพราะคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ตัวธรรมของเขามีรากฐานที่ไม่หวาดหวั่นต่อสินใจ หากถดถอยตอนนี้ ตัวธรรมต้องมีจุดบกพร่องแน่นอน ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวัง

เขาก้าวเดินไปด้านหน้า พลังออร่าบนตัวเพิ่มขึ้นกะทันหัน โคจรธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ผันเป็นร่างที่สูงร้อยเมตรภายในชั่วพริบตา พลังออร่าพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด

“ตู้มม!”

ทุกกิริยาท่าทางของเขาทำให้มิติที่อยู่รอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นพลังสั่นกระเพื่อมออกไปอีกครั้ง

ไม่รอให้เงาร่างแสงเขียวโจมตี หลัวซิวก็เป็นฝ่ายที่ลงมือโจมตีก่อนแล้ว ง้างมือปล่อยพลังอมตะที่หนึ่งอย่างตราเข้าล็อกเดิมออกไป!

เขาเข้าใจดีมากว่าหากปลดปล่อยพลังอมตะอย่างเจว๋เทียนและหัตถ์แหลกดาราจะไม่มีประสิทธิผลใด ๆ เลยเมื่ออยู่ในนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกระหว่างไม่ใช้พลังอมตะ หรือปลดปล่อยพลังอมตะที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองออกไปทีเดียวเลย

แสงเซียนแวววาวจับตา วิวัฒนาการสรรพวิชาที่ไร้ขอบเขตออกมา จนกลายเป็นเข้าล็อกเดิมผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือในที่สุด

พลังอมตะเข้าล็อกเดิมถูกหลัวซิวกระตุ้นถึงขีดสุด แสงเซียนที่แวววาวจับตาผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขาจนกลายเป็นภาชนะติ่งหรือเตาหนึ่งเตา ภาชนะติ่งเซียนผนึกรวมกันจนราวกับแก่นแท้ มีมังกรเซียนโอบล้อม หงส์เซียนคำราม พลานุภาพมโหฬารพันลึก เสมือนสามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่เข้ามาขวางกั้นให้เหลวแหลก

เงาร่างแสงเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหายไปภายในพริบตา เขาก็ปลดปล่อยพลังอมตะเช่นกัน แสงเขียวที่งดงามตระการตาบดบังท้องฟ้า กลายเป็นหอคอยเซียนสีเขียวหลังหนึ่ง กดอัดเก้าสวรรค์สิบปฐพี

คนหนึ่งมือกำภาชนะติ่งเซียน คนหนึ่งมือกำหอคอยเซียน ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เงาร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งชนกันอย่างรุนแรง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ