สามารถพูดได้เลยว่าเส้นทางการฝึกยุทธ์ในภพชาตินี้ของหลัวซิว แข็งแกร่งขึ้นมาได้ด้วยการเหยียบย่ำซากศพของผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะที่นับไม่ถ้วน คู่ต่อสู้แดนเดียวกันทั้งปวงที่เขาเคยประสบพบเจอในก่อนหน้านี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้เลย
เขาเข้าใจหลักการเหนือฟ้ายังมีฟ้าดีมาก ๆ ฉะนั้นเมื่อเขาที่อยู่ภายใต้แดนเดียวกันถูกเงาร่างแสงเขียวโจมตี ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้
แต่แค่รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
พอจะพูดได้เลยว่าสภาพจิตใจเช่นนี้เป็นความดื้อรั้นอย่างหนึ่ง และเป็นคุณสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งควรมีเช่นกัน
“สาเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบในทุก ๆ ด้านนั้น ใช่ว่าความเร็วจะเร็วกว่าข้าเสมอไป แต่ทักษะในการต่อสู้อยู่เหนือข้า”
จากความสามารถในการตระหนักรู้ของหลัวซิว เขาค้นพบปัญหาของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาในอดีตจึงไม่เคยพบปัญหานี้เลย นั่นก็เป็นเพราะเขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
การแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบของคนคนหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังโจมตีหรือการป้องกันหลบเลี่ยง ล้วนจะมีความคิดผุดขึ้นมาในหัวก่อน จากนั้นร่างกายถึงจะปฏิบัติตามความคิดดังกล่าว
ความคิดของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ว่องไวและเฉียบแหลมมาก ร่างกายตอบสนองได้รวดเร็วอย่างยิ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วทันทีที่มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว ร่างกายก็ปฏิบัติตามความคิดนั้นเลย
แต่ไม่ว่าปฏิกิริยาของร่างกายจะรวดเร็วมากเพียงใด ทว่าสุดท้ายแล้วภายในช่วงระยะห่างอันเล็กน้อยนั่น ร่างกายก็จะตอบสนองตามหลังความคิดอยู่ดี ไม่ว่าช่วงระยะเวลาของทั้งสองขั้นตอนนี้จะสั้นมากเพียงใดก็ตาม สุดท้ายก็จะมีความแตกต่างเรื่องเวลาอยู่ดี
ทว่าเหมือนการต่อสู้ของเงาร่างแสงเขียวนั่นจะไม่มีความแตกต่างเรื่องเวลาที่กล่าวถึงเลย ดังนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ความเร็วและศักยภาพของทั้งสองสูสีกัน ช่วงระยะความต่างอันเล็กน้อยนี้ก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐตาย ช่วงระยะความต่างอันน้อยนิดถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขอบเขต
แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะทำอย่างนั้นได้?
หลัวซิวไม่ได้ไตร่ตรองนานมากนัก เขาก็มีคำตอบในใจแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสัญชาตญาณ
ทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายเปลี่ยนเป็นสัญชาตญาณ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดใด ๆ ด้วยซ้ำ ร่างกายก็จะตอบสนองตามสถานการณ์การต่อสู้เองโดยธรรมชาติ เช่นการโจมตี ป้องกันหรือหลบเลี่ยง ตลอดจนควรกระตุ้นพลังอมตะวิชาใดเมื่อไหร่ ต้องเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสัญชาตญาณทั้งหมด!
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงเมื่อลงมือทำแล้วมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก หลัวซิวเคยผ่านการต่อสู้มามากจนนับไม่ถ้วน อันที่จริงเขาก็มีสัญชาตญาณเช่นนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงาร่างแสงเขียว ก็ยังแตกต่างกันไม่น้อยเลย
อย่างน้อยเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้การปลดปล่อยพลังอมตะ ป้องกันและหลีกเลี่ยงพลังโจมตีกลายเป็นสัญชาตญาณได้
อย่างมากสุดสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงทำให้ตอบสนองพลังโจมตีตามสถานการณ์
ถ้าเกิดแบ่งการตอบสนองประเภทนี้เป็นแดนละก็ จะสามารถแบ่งออกเป็นขั้นปฐมภูมิ สำเร็จน้อย บรรลุผลและบริบูรณ์สี่แดน หลัวซิวรู้สึกว่าอย่างมากสุดเขาก็แค่นับเป็นสำเร็จน้อย ส่วนเงาร่างแสงเขียวกลับอยู่ไม่ต่ำกว่าบรรลุผลแล้ว
เมื่อค้นพบปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญ จิตใจของหลัวซิวจึงเบิกบานขึ้นมาภายในพริบตา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน มีปณิธานรบที่แข็งแกร่งตลบฟุ้งออกมาจากร่างกาย แววตาผนึกไปที่เงาร่างที่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงเขียวที่ขมุกขมัวนั่น
เส้นทางแห่งสำนักเซียน เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ในแต่ละด่าน โค่นล้มเจ็ดเซียนจอมพลตระเวนเขียว จึงสามารถพูดได้เลยว่ามีกำลังรบเท่ามหิทธิมกุฎเซียนครั้นเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ
สตรีงามเพริศพริ้งนั่นอยู่เหนือมกุฎเซียน ยิ่งกว่านั้นคือนางอาจจะมีกำลังรบเท่าจักรพรรดิเซียนครั้นเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิแล้ว
อย่างไรก็ตามเงาร่างแสงเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้มีผลการฝึกตนเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิเช่นกัน ทว่ากลับแข็งแกร่งกว่าสตรีงามเพริศพริ้งนั่นมาก ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งเงาร่างแสงเขียวร่างนี้เอาไว้ ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในหมู่จักรพรรดิเซียนอย่างแน่นอน!
“เจ้ายังอยากพยายามดูอีกหรือ?”
มองไม่เห็นใบหน้าของเงาร่างแสงเขียว น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งและมีความสุขุมปนอยู่ด้วย ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ธรรมดาทั่วไปมาก ๆ
“เจ้ามีวุฒิจักรพรรดิ อนาคตมีโอกาสย่างกรายสู่แดนจักรพรรดิเซียนไม่น้อยเลย หากชีวิตอยู่ในนี้ มันจักน่าเสียดายมากไปหน่อย”
เงาร่างแสงเขียวถอนหายใจเบา ๆ “หากเจ้าถอยไปบัดนี้ ยังสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ หากดึงดันที่จะฝ่าฟันต่อ ข้าจักปฏิบัติตามปณิธานที่ข้าเคยทิ้งไว้ จักไม่ออมมือให้เจ้าอีกแล้ว”
“โชคชะตาอยู่ในกำมือข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องออมมือ”
หลัวซิวไม่ได้เปลี่ยนแปลงเจตนาดั้งเดิมของตนเองเพียงเพราะคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ตัวธรรมของเขามีรากฐานที่ไม่หวาดหวั่นต่อสินใจ หากถดถอยตอนนี้ ตัวธรรมต้องมีจุดบกพร่องแน่นอน ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวัง
เขาก้าวเดินไปด้านหน้า พลังออร่าบนตัวเพิ่มขึ้นกะทันหัน โคจรธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ผันเป็นร่างที่สูงร้อยเมตรภายในชั่วพริบตา พลังออร่าพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด
“ตู้มม!”
ทุกกิริยาท่าทางของเขาทำให้มิติที่อยู่รอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นพลังสั่นกระเพื่อมออกไปอีกครั้ง
ไม่รอให้เงาร่างแสงเขียวโจมตี หลัวซิวก็เป็นฝ่ายที่ลงมือโจมตีก่อนแล้ว ง้างมือปล่อยพลังอมตะที่หนึ่งอย่างตราเข้าล็อกเดิมออกไป!
เขาเข้าใจดีมากว่าหากปลดปล่อยพลังอมตะอย่างเจว๋เทียนและหัตถ์แหลกดาราจะไม่มีประสิทธิผลใด ๆ เลยเมื่ออยู่ในนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกระหว่างไม่ใช้พลังอมตะ หรือปลดปล่อยพลังอมตะที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองออกไปทีเดียวเลย
แสงเซียนแวววาวจับตา วิวัฒนาการสรรพวิชาที่ไร้ขอบเขตออกมา จนกลายเป็นเข้าล็อกเดิมผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือในที่สุด
พลังอมตะเข้าล็อกเดิมถูกหลัวซิวกระตุ้นถึงขีดสุด แสงเซียนที่แวววาวจับตาผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขาจนกลายเป็นภาชนะติ่งหรือเตาหนึ่งเตา ภาชนะติ่งเซียนผนึกรวมกันจนราวกับแก่นแท้ มีมังกรเซียนโอบล้อม หงส์เซียนคำราม พลานุภาพมโหฬารพันลึก เสมือนสามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่เข้ามาขวางกั้นให้เหลวแหลก
เงาร่างแสงเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหายไปภายในพริบตา เขาก็ปลดปล่อยพลังอมตะเช่นกัน แสงเขียวที่งดงามตระการตาบดบังท้องฟ้า กลายเป็นหอคอยเซียนสีเขียวหลังหนึ่ง กดอัดเก้าสวรรค์สิบปฐพี
คนหนึ่งมือกำภาชนะติ่งเซียน คนหนึ่งมือกำหอคอยเซียน ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เงาร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งชนกันอย่างรุนแรง
หลัวซิวก้าวเดินไปด้านหน้า รัศมีที่เหมือนดั่งเพลิงอัคคีสีทองกำลังผนึกรวมกันอยู่ด้านหลังเขา ตรีภพไท่จี๋เสวียนแท้ ลิขิตไท่จี๋อนัตกาล ปรากฏการณ์แปลกประหลาดของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพปรากฏพร้อมกัน
ได้รับการปลุกเสกจากพลังอมตะหวูจี๋ ทำให้พลังออร่าที่บรรลุถึงขั้นสูงในตอนแรกของเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
“เกณฑ์สูงศักดิ์ใหญ่ทั้งสาม?”
เมื่อเงาร่างแสงเขียวมองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งสามที่ปรากฏด้านหลังเขา ในน้ำเสียงยิ่งมีความตะลึงงันปนอยู่ด้วย แม้นจะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ราวกับสามารถมองเห็นได้ว่าเขากำลังอมยิ้มพลางพูด: “ทายาทไท่ซ่างคนนี้น่าสนใจดีแฮะ……”
“ฟ้าดิน!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น ใช้พลังอมตะหวูจี๋ปลุกเสก ปลดปล่อยหมัดเต๋าถล่มออกไป หมัดทั้งสองข้างของเขาราวกับได้บุกเบิกฟ้าดินหนึ่งออกมา หนึ่งหมัดทลายหมื่นวิถี ขจัดสรรพวิชา
“เสวียนเหลือง!”
เขาทำท่าประสานอิน ราวกับมีหอคอยเซียนหลังหนึ่งลอยขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วสยบทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า
“จักรวาลจักรภพ!”
วิชาตราประทับแปรเปลี่ยนจนไม่อาจคาดการณ์ได้ ห้วงเวลาราวกับหยุดนิ่ง พลังโจมตีของหลัวซิวรวดเร็วและดุดันอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นคือเขาได้หลับตาลง เพื่อใช้หัวใจตระหนักโคจรความลึกซึ้งของวิชารบสัญชาตเวค
“ล้นร้าง!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีพลังออร่าที่เข้มแข็งเกรียงไกรถึงขีดสุดปรากฏเป็นตัวหลัวซิว เสมือนสามกระบวนท่าใหญ่อย่างฟ้าดิน เสวียนเหลืองและจักรวาลจักรภพในก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงกระบวนท่าที่ปูทางรอพลังอมตะกระบวนท่าสุดท้ายนี้ยังไงอย่างนั้น
“ตู้มม!”
เสียงระเบิดที่น่าสยดสยองดังขึ้น เงาร่างที่อยู่ในแสงเขียวที่ขมุกขมัวกระเด็นออกไป แล้วมีหมอกเลือดระเบิดออกมาจากแสงเซียนสีเขียวที่ปกคลุมอยู่รอบกายเขา
เงาร่างแสงเขียวกระเด็นออกไปไกลมาก เมื่อเขาทรงตัวได้ ก็ยังคงมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากแสงเขียวอย่างไม่หยุดหย่อน จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย
“ฟ้าดิน เสวียนเหลือง จักรวาลจักรภพ ล้นร้าง ช่างเป็นพลังอมตะที่ทรงพลังยิ่งนัก ช่างโอ่อ่าทรงพลังยิ่งนัก! มีท่วงท่าที่สง่างามของจักรพรรดิเซียนอัษฎทิศอยู่!”
เงาร่างแสงเขียวชื่นชมอย่างต่อเนื่อง แสงเขียวที่อยู่บนตัวเขาค่อย ๆ สลายหายไป ก่อนจะเผยให้เห็นโฉมหน้าและรูปร่างของเขา
คนดังกล่าวคือชายที่อยู่ในเสื้อแขนยาวสีเขียวคนหนึ่ง หน้าตาของเขาดูธรรมดามาก ๆ ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้เลยว่าเหมือนเป็นชาวบ้านปุถุชนทั่วไป มีจุดใดที่ดูพิเศษเลย แววตาอ่อนโยน สีหน้าเรียบนิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...