มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3164

“ผู้ที่อยู่ในแดนเซียนชั้นฟ้าแล้วสามารถโคจรวิชาไร้ลักษณ์ไท่ซ่างได้ยอดเยี่ยมอย่างเจ้านั้น พูดได้เลยว่าในชั่วชีวิตนี้ของจักรพรรดิอย่างข้ายังพบเจอได้น้อยมาก!”

ชายชุดเขียวอมยิ้ม มองหน้าหลัวซิวพลางพูดอย่างอ่อนโยน

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้วขอรับ ผู้น้อยก็แค่ตรัสรู้ได้กะทันหันครั้นดื่มด่ำอยู่กับการตระหนักรู้วิชารบสัญชาตเวคในเมื่อครู่นี้ จึงปลดปล่อยพลังอมตะวิชานี้ออกมาได้”

หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชายชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนจะธรรมดา แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เขาเรียกแทนตัวเองว่าจักรพรรดิ ซึ่งก็หมายความว่าร่างแท้ของเขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเซียนตนหนึ่งแน่นอน

“สามารถสร้างความเสียหายให้แก่จักรพรรดิอย่างข้าในแดนเดียวกัน แสดงว่าเจ้าก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ต่ำกว่าวุฒิจักรพรรดิสุดหล้าแน่นอน เจ้าถือว่าผ่านด่านนี้ของข้าแล้ว”

ชายชุดเขียวอมยิ้ม “เจ้าสามารถผ่านด่านนี้ของจักรพรรดิอย่างข้าไปได้ แต่ด่านหลัง ๆ คงไม่ได้ผ่านง่ายขนาดนั้นแล้วล่ะ”

พอสิ้นเสียง ก็ไม่ให้โอกาสหลัวซิวได้สอบถามอะไรเช่นกัน ชายชุดเขียวผันหั่นเป็นรูปปั้นอีกครั้ง แล้วปรากฏด้านหลังหลัวซิว

ด้านหน้าของเส้นทางที่คับแคบไม่มีอุปสรรคใด ๆ หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วย่างเท้าเดินไปด้านหน้า

เขาแทบจะใช้มันสมองทั้งหมดของตัวเองแล้ว ถึงจะสามารถผ่านด่านของชายชุดเขียวไปได้อย่างทรหด ยิ่งกว่านั้นคือยังมีการตรัสรู้กะทันหัน ริเริ่มพลังอมตะได้หนึ่งวิชา

แล้วองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ในด่านหลัง ๆ จักแข็งแกร่งมากเพียงใดกันนะ?

ฝ่าด่านมาถึงที่นี่ หลัวซิวยังไม่เคยใช้ท่าไม้ตายของตัวเองเลย เขาคาดคะเนว่าหากเจอคู่ต่อสู้คนต่อไป บางทีเขาอาจต้องอาศัยพลังของแหล่งดั้งเดิมเลิศล้ำแล้วล่ะ

หากเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เขาก็จะใช้ดาบหักเซียน เหล็กเซียนชั้นกล้าแล้วก็ภาชนะติ่งปีศาจมังกร เขาไม่เชื่อหรอกว่าทำถึงขั้นนี้แล้วยังไม่สามารถผ่านด่านไปได้

ความเร็วในการก้าวเดินไปด้านหน้าของหลัวซิวไม่เร็วแต่อย่างใด เขายังคงตระหนักความลึกลับและมหัศจรรย์ของวิชารบสัญชาตเวคอยู่ แค่เผชิญหน้ากับชายชุดเขียวเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้แล้ว หากไม่สามารถยกระดับวิชารบสัญชาตเวคให้ขึ้นไปถึงแดนบรรลุผล เขารู้สึกว่าโอกาสในการผ่านด่านของตัวเองอาจไม่สูง

ในส่วนของไพ่เด็ดท่าไม้ตายนั้น หากไม่ได้ใช้ก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็มองเห็นรูปปั้นรูปหนึ่งขวางอยู่ตรงตำแหน่งที่ห่างไกลออกไป แต่หลัวซิวกลับไม่ได้เดินไป แต่เป็นการนั่งลงกับที่เพื่อตระหนักวิชารบสัญชาตเวคต่อ

ในตัวหยั่งรู้ของเขา เขาใช้พลังวิญญาณอนุมานวิวัฒนาการ พลังวิญญาณดวงหนึ่งกลายเป็นชายชุดเขียว พลังวิญญาณอีกดวงหนึ่งกลายเป็นตัวเอง แล้วต่อสู้อนุมานกันในตัวหยั่งรู้ เพื่อทำให้การโคจรและการตระหนักวิชารบสัญชาตเวครู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว หลัวซิวที่อยู่ในการตระหนักลืมเรื่องเวลาไปโดยสิ้นเชิง เข็มทิศวัฏสงสารลอยอยู่หลังศรีษะ แม้นจะมีการปลุกเสกจากสีมาเพลา แต่เขาก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปีเช่นกันถึงจะปรับแก้ให้วิชารบสัญชาตเวคสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ก้าวเข้าสู่แดนบรรลุผล หรือแดนที่เทียบเท่าชายชุดเขียวนั่นนั่นเอง

ศักยภาพเพิ่มขึ้น ความมั่นใจก็แข็งแรงขึ้น หลัวซิวก้าวเดินไปด้านหน้า ก่อนจะมีเงาร่างที่ปกคลุมอยู่ในรัศมีสีดำร่างหนึ่งปรากฏด้านหน้า

“กาลเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนาน ไม่นึกเลยว่าจะมีคนฝ่าฟันจนมาถึงหน้าจักรพรรดิอย่างข้าอีกครั้ง”

เงาร่างแสงดำหันหลังกลับมาอย่างเชื่องช้า ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าเหมือนเคย แสงดำที่อยู่บนตัวเขาเหมือนดั่งมังกร พลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าชายชุดเขียวคนก่อนหน้านี้เสียอีก

เสี้ยววินาทีที่เห็นฝ่ายตรงข้าม หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองได้พบกับศัตรูตัวฉกาจที่น่ากลัวยิ่งกว่า

“ท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าด้านหลังยังเหลืออีกกี่ด่านขอรับ?”

หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย เงาร่างแสงดำที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนไม่อาจโค่นล้มได้ ซึ่งต้องเป็นคู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาในภพชาตินี้เคยพบเจอมาอย่างแน่นอน

ฉะนั้นหลัวซิวถึงได้รู้สึกสงสัยว่าต่อจากนี้ จะยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้จริงหรือไม่?

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเมฆยังมีเมฆ

เมื่อความรู้ยิ่งมาก หลัวซิวก็ยิ่งค้นพบว่าตัวเองก็ยังเป็นกบในกะลาอยู่เหมือนเคย ความลับในกาลเวลาประวัติศาสตร์ของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มีมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก ๆ

“คนหนุ่มอยากไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัวจักดีกว่า หากเจ้าสามารถผ่านด่านนี้ของข้าไปได้ จักรพรรดิอย่างข้าจักบอกเจ้าเองว่าด้านหลังยังเหลืออีกกี่ด่าน”

เงาร่างแสงดำหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินตรงมา “แต่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้อยู่ว่าก่อนหน้าเจ้า เคยมีคนสองคนฝ่าฟันเข้ามาถึงด่านของข้า อีกทั้งบนตัวสองคนนั้นยังมีออร่าที่คล้ายคลึงกับเจ้าด้วย ต่างเป็นทายาทไท่ซ่างเช่นกัน”

“สองคน?”

รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เขาแทบจะสามารถยืนยันได้เลยว่าหนึ่งในนั้นต้องมีจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างแห่งยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน

ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน จักรพรรดิเซียนไท่ซ่างเป็นผู้ที่ถูกยอมรับว่าเป็นผู้บุกเบิกของเผ่าไท่ซ่าง อย่างไรก็ตามแท้จริงแล้วมันกลับมิใช่เช่นนั้น เพราะเขาเป็นเพียงคนแรกที่ใช้วิชาไร้ลักษณ์ริเริ่มเวทย์ต้องห้ามทั้งเก้าออกมา ทั้งนำเวทย์ต้องห้ามทั้งเก้าหลอมรวมเข้าไปในสายเลือด ซึ่งสามารถสืบทอดให้แก่ทายาททุกคนในชนเผ่า

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าเริ่มมีไท่ซ่างไร้ลักษณ์ก่อน ถึงจะมีจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างและเก้าต้องห้ามในภายหลัง

“ท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านที่ท่านกล่าวถึงฝ่าฟันมาถึงด่านนี้ด้วยผลการฝึกตนระดับใดขอรับ?”หลัวซิวถามอีกครั้ง

ครั้งนี้เงาร่างแสงดำไม่ได้พูดอะไร มีแค่พลังออร่าที่มากมายมหาศาลและน่าสยดสยองตลบฟุ้งออกมาจากตัวเขา

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลการฝึกตนยังคงเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ ทว่าพลังออร่าที่อบอวนอยู่รอบกายกลับแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าราชาเซียนเสียอีก

เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็เข้มงวดขึ้นมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเงาร่างแสงดำไม่อยากตอบกลับคำถามของเขาอีกแล้ว บางทีเขาอาจจะต้องโค่นล้มคู่ต่อสู้คนนี้ก่อน ฝ่ายตรงข้ามถึงจะมีอารมณ์ตอบกลับคำถามของเขา

“ตู้มม!”

พลังออร่าที่ดุดันปะทุออกมาจากร่างหลัวซิว เพียงพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็ยืดสูงขึ้น กลายเป็นร่างที่สูงร้อยเมตร

เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง รัศมีสีทองก็ผันเป็นเพลิงอัคคีลุกโชนอยู่รอบกาย เพลิงอัคคีได้ลุกลามไปทั่วมิติสีดำรอบ ๆ พร้อมทั้งโคจรปลุกเสกพลังอมตะหวูจี๋!

ถัดจากนั้นเขาก็ก้าวขาก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้าออกไป พลางพูดคำว่าฟ้าดิน เสวียนเหลือง จักรวาลจักรภพ ล้นร้าง พลังออร่าบนตัวจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พลังที่อยู่ในร่างกายสะสมจนบรรลุถึงขีดสูงสุด!

“หมัดเต๋าถล่ม!”

สุดท้ายพลังโจมตีที่ได้ผนึกรวมกำรบที่ทรงพลังที่สุดก็ถูกหลัวซิวปลดปล่อยออกไป พลังทำลายล้างที่ไร้ขอบเขตทลายสรรพวิชาสรรพวิถี ราวกับบุกเบิกฟ้าดินในตรีภพ และเหมือนทำลายล้างจักรวาล ทำให้ทุกสรรพสิ่งโลกหล้ากลายเป็นความว่างเปล่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ