“ผู้ที่อยู่ในแดนเซียนชั้นฟ้าแล้วสามารถโคจรวิชาไร้ลักษณ์ไท่ซ่างได้ยอดเยี่ยมอย่างเจ้านั้น พูดได้เลยว่าในชั่วชีวิตนี้ของจักรพรรดิอย่างข้ายังพบเจอได้น้อยมาก!”
ชายชุดเขียวอมยิ้ม มองหน้าหลัวซิวพลางพูดอย่างอ่อนโยน
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้วขอรับ ผู้น้อยก็แค่ตรัสรู้ได้กะทันหันครั้นดื่มด่ำอยู่กับการตระหนักรู้วิชารบสัญชาตเวคในเมื่อครู่นี้ จึงปลดปล่อยพลังอมตะวิชานี้ออกมาได้”
หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชายชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนจะธรรมดา แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เขาเรียกแทนตัวเองว่าจักรพรรดิ ซึ่งก็หมายความว่าร่างแท้ของเขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเซียนตนหนึ่งแน่นอน
“สามารถสร้างความเสียหายให้แก่จักรพรรดิอย่างข้าในแดนเดียวกัน แสดงว่าเจ้าก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ต่ำกว่าวุฒิจักรพรรดิสุดหล้าแน่นอน เจ้าถือว่าผ่านด่านนี้ของข้าแล้ว”
ชายชุดเขียวอมยิ้ม “เจ้าสามารถผ่านด่านนี้ของจักรพรรดิอย่างข้าไปได้ แต่ด่านหลัง ๆ คงไม่ได้ผ่านง่ายขนาดนั้นแล้วล่ะ”
พอสิ้นเสียง ก็ไม่ให้โอกาสหลัวซิวได้สอบถามอะไรเช่นกัน ชายชุดเขียวผันหั่นเป็นรูปปั้นอีกครั้ง แล้วปรากฏด้านหลังหลัวซิว
ด้านหน้าของเส้นทางที่คับแคบไม่มีอุปสรรคใด ๆ หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วย่างเท้าเดินไปด้านหน้า
เขาแทบจะใช้มันสมองทั้งหมดของตัวเองแล้ว ถึงจะสามารถผ่านด่านของชายชุดเขียวไปได้อย่างทรหด ยิ่งกว่านั้นคือยังมีการตรัสรู้กะทันหัน ริเริ่มพลังอมตะได้หนึ่งวิชา
แล้วองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ในด่านหลัง ๆ จักแข็งแกร่งมากเพียงใดกันนะ?
ฝ่าด่านมาถึงที่นี่ หลัวซิวยังไม่เคยใช้ท่าไม้ตายของตัวเองเลย เขาคาดคะเนว่าหากเจอคู่ต่อสู้คนต่อไป บางทีเขาอาจต้องอาศัยพลังของแหล่งดั้งเดิมเลิศล้ำแล้วล่ะ
หากเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เขาก็จะใช้ดาบหักเซียน เหล็กเซียนชั้นกล้าแล้วก็ภาชนะติ่งปีศาจมังกร เขาไม่เชื่อหรอกว่าทำถึงขั้นนี้แล้วยังไม่สามารถผ่านด่านไปได้
ความเร็วในการก้าวเดินไปด้านหน้าของหลัวซิวไม่เร็วแต่อย่างใด เขายังคงตระหนักความลึกลับและมหัศจรรย์ของวิชารบสัญชาตเวคอยู่ แค่เผชิญหน้ากับชายชุดเขียวเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้แล้ว หากไม่สามารถยกระดับวิชารบสัญชาตเวคให้ขึ้นไปถึงแดนบรรลุผล เขารู้สึกว่าโอกาสในการผ่านด่านของตัวเองอาจไม่สูง
ในส่วนของไพ่เด็ดท่าไม้ตายนั้น หากไม่ได้ใช้ก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็มองเห็นรูปปั้นรูปหนึ่งขวางอยู่ตรงตำแหน่งที่ห่างไกลออกไป แต่หลัวซิวกลับไม่ได้เดินไป แต่เป็นการนั่งลงกับที่เพื่อตระหนักวิชารบสัญชาตเวคต่อ
ในตัวหยั่งรู้ของเขา เขาใช้พลังวิญญาณอนุมานวิวัฒนาการ พลังวิญญาณดวงหนึ่งกลายเป็นชายชุดเขียว พลังวิญญาณอีกดวงหนึ่งกลายเป็นตัวเอง แล้วต่อสู้อนุมานกันในตัวหยั่งรู้ เพื่อทำให้การโคจรและการตระหนักวิชารบสัญชาตเวครู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว หลัวซิวที่อยู่ในการตระหนักลืมเรื่องเวลาไปโดยสิ้นเชิง เข็มทิศวัฏสงสารลอยอยู่หลังศรีษะ แม้นจะมีการปลุกเสกจากสีมาเพลา แต่เขาก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปีเช่นกันถึงจะปรับแก้ให้วิชารบสัญชาตเวคสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ก้าวเข้าสู่แดนบรรลุผล หรือแดนที่เทียบเท่าชายชุดเขียวนั่นนั่นเอง
ศักยภาพเพิ่มขึ้น ความมั่นใจก็แข็งแรงขึ้น หลัวซิวก้าวเดินไปด้านหน้า ก่อนจะมีเงาร่างที่ปกคลุมอยู่ในรัศมีสีดำร่างหนึ่งปรากฏด้านหน้า
“กาลเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนาน ไม่นึกเลยว่าจะมีคนฝ่าฟันจนมาถึงหน้าจักรพรรดิอย่างข้าอีกครั้ง”
เงาร่างแสงดำหันหลังกลับมาอย่างเชื่องช้า ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าเหมือนเคย แสงดำที่อยู่บนตัวเขาเหมือนดั่งมังกร พลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าชายชุดเขียวคนก่อนหน้านี้เสียอีก
เสี้ยววินาทีที่เห็นฝ่ายตรงข้าม หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองได้พบกับศัตรูตัวฉกาจที่น่ากลัวยิ่งกว่า
“ท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าด้านหลังยังเหลืออีกกี่ด่านขอรับ?”
หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย เงาร่างแสงดำที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนไม่อาจโค่นล้มได้ ซึ่งต้องเป็นคู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาในภพชาตินี้เคยพบเจอมาอย่างแน่นอน
ฉะนั้นหลัวซิวถึงได้รู้สึกสงสัยว่าต่อจากนี้ จะยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้จริงหรือไม่?
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเมฆยังมีเมฆ
เมื่อความรู้ยิ่งมาก หลัวซิวก็ยิ่งค้นพบว่าตัวเองก็ยังเป็นกบในกะลาอยู่เหมือนเคย ความลับในกาลเวลาประวัติศาสตร์ของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มีมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก ๆ
“คนหนุ่มอยากไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัวจักดีกว่า หากเจ้าสามารถผ่านด่านนี้ของข้าไปได้ จักรพรรดิอย่างข้าจักบอกเจ้าเองว่าด้านหลังยังเหลืออีกกี่ด่าน”
เงาร่างแสงดำหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินตรงมา “แต่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้อยู่ว่าก่อนหน้าเจ้า เคยมีคนสองคนฝ่าฟันเข้ามาถึงด่านของข้า อีกทั้งบนตัวสองคนนั้นยังมีออร่าที่คล้ายคลึงกับเจ้าด้วย ต่างเป็นทายาทไท่ซ่างเช่นกัน”
“สองคน?”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เขาแทบจะสามารถยืนยันได้เลยว่าหนึ่งในนั้นต้องมีจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างแห่งยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน
ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน จักรพรรดิเซียนไท่ซ่างเป็นผู้ที่ถูกยอมรับว่าเป็นผู้บุกเบิกของเผ่าไท่ซ่าง อย่างไรก็ตามแท้จริงแล้วมันกลับมิใช่เช่นนั้น เพราะเขาเป็นเพียงคนแรกที่ใช้วิชาไร้ลักษณ์ริเริ่มเวทย์ต้องห้ามทั้งเก้าออกมา ทั้งนำเวทย์ต้องห้ามทั้งเก้าหลอมรวมเข้าไปในสายเลือด ซึ่งสามารถสืบทอดให้แก่ทายาททุกคนในชนเผ่า
ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าเริ่มมีไท่ซ่างไร้ลักษณ์ก่อน ถึงจะมีจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างและเก้าต้องห้ามในภายหลัง
“ท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านที่ท่านกล่าวถึงฝ่าฟันมาถึงด่านนี้ด้วยผลการฝึกตนระดับใดขอรับ?”หลัวซิวถามอีกครั้ง
ครั้งนี้เงาร่างแสงดำไม่ได้พูดอะไร มีแค่พลังออร่าที่มากมายมหาศาลและน่าสยดสยองตลบฟุ้งออกมาจากตัวเขา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลการฝึกตนยังคงเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ ทว่าพลังออร่าที่อบอวนอยู่รอบกายกลับแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าราชาเซียนเสียอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็เข้มงวดขึ้นมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเงาร่างแสงดำไม่อยากตอบกลับคำถามของเขาอีกแล้ว บางทีเขาอาจจะต้องโค่นล้มคู่ต่อสู้คนนี้ก่อน ฝ่ายตรงข้ามถึงจะมีอารมณ์ตอบกลับคำถามของเขา
“ตู้มม!”
พลังออร่าที่ดุดันปะทุออกมาจากร่างหลัวซิว เพียงพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็ยืดสูงขึ้น กลายเป็นร่างที่สูงร้อยเมตร
เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง รัศมีสีทองก็ผันเป็นเพลิงอัคคีลุกโชนอยู่รอบกาย เพลิงอัคคีได้ลุกลามไปทั่วมิติสีดำรอบ ๆ พร้อมทั้งโคจรปลุกเสกพลังอมตะหวูจี๋!
ถัดจากนั้นเขาก็ก้าวขาก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้าออกไป พลางพูดคำว่าฟ้าดิน เสวียนเหลือง จักรวาลจักรภพ ล้นร้าง พลังออร่าบนตัวจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พลังที่อยู่ในร่างกายสะสมจนบรรลุถึงขีดสูงสุด!
“หมัดเต๋าถล่ม!”
สุดท้ายพลังโจมตีที่ได้ผนึกรวมกำรบที่ทรงพลังที่สุดก็ถูกหลัวซิวปลดปล่อยออกไป พลังทำลายล้างที่ไร้ขอบเขตทลายสรรพวิชาสรรพวิถี ราวกับบุกเบิกฟ้าดินในตรีภพ และเหมือนทำลายล้างจักรวาล ทำให้ทุกสรรพสิ่งโลกหล้ากลายเป็นความว่างเปล่า
หลัวซิวฉีกยิ้มแล้วโดนแผลบนตัวพอดี เขาจึงล้มนั่งลงไปกับพื้น จิตเซียนที่อยู่ภายในร่างกายถูกใช้จนแห้งเหือดแล้ว ไม่สามารถผันเปลี่ยนเป็นพลังแห่งชีวิต ส่งผลให้ไม่สามารถฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บตามร่างกาย
เกณฑ์กระแสน้ำสีดำทั้งหลายผนึกรวมกัน ประกอบเป็นระลอกคลื่น ถัดจากนั้นชายที่อยู่ในชุดคลุมมังกรสีดำก็เดินออกมา ใบหน้าดูน่าเกรงขาม
“เจ้ายอดเยี่ยมมาก หากจักรพรรดิอย่างข้าอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับเจ้า หากต่อกรกับเจ้าด้วยแดนเซียนชั้นฟ้า ข้ามีโอกาสตายอยู่ในเงื้อมมือเจ้าสูงมาก”
“ข้าจักเฝ้ารอเจ้าในอนาคต ดูซิว่าจะสามารถย่างกรายสู่แดนจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำได้หรือไม่!”
ชายชุดคลุมมังกรดำเพ่งมองหลัวซิวด้วยแววตาที่ร้อนผ่าว ในคำพูดคำจาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเขา
“ท่านอาวุโสตอบกลับคำถามของข้าได้แล้วใช่หรือไม่?”หลัวซิวยิ้มพลางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ
“แน่นอนอยู่แล้วสิ”
ชายชุดคลุมยาวดำอมยิ้ม “หลังจากผ่านด่านข้าไปแล้ว ยังเหลืออีกสามด่าน เริ่มตั้งแต่จักรพรรดิขจีที่เจ้าฝ่าฟันผ่านมาได้ในก่อนหน้านี้ ด่านช่วงหลังที่เหลือล้วนเป็นตราประทับตราหนึ่งที่จักรพรรดิเซียนเลิศล้ำในอดีตทิ้งไว้”
“ตราจักรพรรดิเซียนจักอ้างอิงจากระดับความสูงต่ำของผลการฝึกตนของผู้ฝ่าด่าน วิวัฒนาการคู่ต่อสู้ที่มีผลการฝึกตนสอดคล้องกันออกมา ยกตัวอย่างเช่นเจ้าเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ เช่นนั้นข้าที่ประชันกับเจ้าก็จะมีกำลังรบอยู่ในระดับเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิเช่นกัน”
“แล้วถ้าเกิดจักรพรรดิเซียนเข้ามาล่ะ? หรือว่าตราประทับหนึ่งของจักรพรรดิเซียนยังสามารถวิวัฒนาการคู่ต่อสู้ที่มีกำลังรบระดับจักรพรรดิเซียนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกแปลกใจ
แม้นเขาก็ทราบเช่นกันว่าในระดับจักรพรรดิเซียนก็มีการแบ่งแข็งแกร่งอ่อนแอเช่นกัน แต่กลับไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าแม้จะเป็นจักรพรรดิเซียนเหมือนกัน แต่ช่วงระยะความต่างของศักยภาพจะแตกต่างกันมากขนาดนี้
“ไยจึงไปไม่ได้เล่า?”
จักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำหัวเราะ “ก่อนยุคโบราณกัลปาวสาน พวกเราจักรพรรดิทั้งห้าได้ร่วมมือกันบุกเบิกมิติปริภูมิแห่งนี้ขึ้นมา ก่อตั้งสำนักเซียนเพื่อรอคอยผู้มีวาสนาที่มีพรสวรรค์เพียงพอ สามารถพูดได้เลยว่าขอแค่อยู่ในมิติปริภูมินี้ ก็สามารถหลอมสร้างพวกเราทั้งห้าที่มีกำลังรบอยู่ในช่วงเฟื่องฟูสุดของจักรพรรดิเซียนออกมาได้เลย”
“ยุคโบราณกัลปาวสาน?”สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูงุนงง “เป็นยุคสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคบรรพกาลหรือขอรับ?”
จักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำพยักหน้า “อดีตเคยมีคนสองคนฝ่าฟันเข้ามาถึงด่านของข้า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิเซียนแห่งยุคบรรพกาล ต่างเป็นแดนจักรพรรดิเซียนสุดหล้าเช่นกัน เขาโค่นล้มจักรพรรดิขจีได้ แต่น่าเสียดายที่พ่ายแพ้ภายในหนึ่งกระบวนท่าของข้า”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลัวซิวก็อดซี๊ดปากไม่ได้ เขาสามารถยืนยันได้เลยว่าจักรพรรดิเซียนยุคบรรพกาลที่จักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำกล่าวถึงนั้น ต้องเป็นจักรพรรดิเซียนไท่ซ่างอย่างแน่นอน
นั่นเป็นผู้ไร้เทียมทานที่ริเริ่มเวทย์ต้องห้ามทั้งเก้า อีกทั้งหลอมรวมเก้าต้องห้ามเป็นหนึ่งเชียวนะ ไม่นึกเลยว่าเมื่อต่อสู้อยู่ภายใต้แดนเดียวกัน ท่านจักพ่ายแพ้อยู่ในกำมือของจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำท่านนี้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน หลัวซิวถึงจะเข้าใจว่าจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำแข็งแกร่งมากเพียงใด แม้เขาจะสามารถโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในแดนเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิ แต่จากการที่ผลการฝึกตนค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น หากตัวเขาเองไม่สามารถรักษาสภาวะของผู้แข็งแกร่งอย่างวินาทีนี้ได้ตลอดไป อนาคตเขาอาจจะบรรลุเป็นจักรพรรดิเซียนเช่นกัน ทว่าถึงครานั้นเขาที่อยู่ในแดนเดียวกันอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำแล้ว
นี่จึงทำให้จิตใจของหลัวซิวตื่นเต้นมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยด้วย เนื่องจากแค่จักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำนี่ก็ทำให้เขาต้องทุ่มสุดกำลังสามารถแล้ว แล้วตัวเองจะเอาอะไรไปต่อสู้กับร่างผันของจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำทั้งสามที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวดำในสามด่านสุดท้ายเล่า?
สุดท้ายแล้วแหล่งดั้งเดิมเลิศล้ำ ดาบหักเซียน เหล็กเซียนชั้นกล้าและภาชนะติ่งปีศาจมังกรก็ล้วนเป็นของนอกกาย ซึ่งไม่ใช่ศักยภาพของตัวเขาเองแต่อย่างใด
หากมีโอกาสเสี้ยวหนึ่ง หลัวซิวอยากฝ่าฟันโดยอาศัยศักยภาพของตัวเอง เขาไม่อยากใช้ของนอกกาย เพราะเขาเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าความแข็งแกร่งของตนเองคือรากฐานที่ชั่วนิรันดร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...