มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3167

“ยังไม่บรรลุมรรคผลก็สามารถฝึกเซ่นให้กระบี่เซียนเล่มหนึ่งทรงพลังเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นภัณฑ์เซียนมรรคผลชาตะของจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำจักทรงพลังมากเพียงใดกันนะ?”

หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ตื้นตันใจมากจนสงบใจไว้ไม่อยู่

หากเป็นเมื่อก่อน การบรรลุมรรคผลกลายจักรพรรดิเซียนคือเป้าหมายของเขา เช่นนั้นเป้าหมายปัจจุบันของเขากลับไม่ได้จำกัดอยู่แค่จักรพรรดิเซียนแล้ว เขาต้องการบรรลุเป็นจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำ ตลอดจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำ

เหนือปุถุชนทั่วไปมีเทพ

เหลือเทพมารมีเซียน

แล้วเหนือเซียนยังมีผู้แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหรือไม่?

แม้นแดนเซียนจะเป็นจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ ทว่าจักรพรรดิเซียนกลับใช่ว่าจะเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แม้แต่จักรพรรดิเซียนเลิศล้ำก็อาจจะใช่ว่าจะเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป

ชักกระบี่เซียนเล่มนี้ขึ้นมา ก่อนหลัวซิวจะทำท่าคารวะไปทางรูปปั้นของจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวขาว แม้นทั้งสองจะไม่ได้พูดคุยกันเยอะเท่าไหร่ แต่จากความทะนงองอาจของจักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวขาว การที่เขาประทานกระบี่เซียนให้ตนนั้น ถือเป็นการยอมรับในตัวเขาที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด

เขามุ่งหน้าเดินต่อไป ในที่สุดหลัวซิวก็เจอจุดปลายขอบเขตของเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิสักที

ที่นี่ไม่มีรูปปั้นของจักรพรรดิเซียนตนสุดท้ายเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้แต่อย่างใด จุดปลายขอบเขตของเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดินี่ มีตำหนักสีทองที่มีรัศมีห้าสีเป็นประกายระยิบระยับอยู่รอบ ๆ ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งหลัง

หลัวซิวก้าวเดินไปด้านหน้า หลังจากเขาเดินเข้าไปในตำหนักสีทองหลังดังกล่าว เขาก็มองเห็นร่างที่ห้าที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด

คนแรกที่อยู่ฝั่งซ้ายคือจักรพรรดิขจี ตามมาด้วยจักรพรรดินิล

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือชายที่อยู่ในชุดคลุมมังกรสีทองตนหนึ่ง บัดนี้เขากำลังอมยิ้มพลางมองหน้าหลัวซิว ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในห้าจักรพรรดิ

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือจักรพรรดิธวัลและจักรพรรดิเพลิง

“ตั้งแต่ผ่านพ้นยุคโบราณกัลปาวสานเป็นต้นมา เจ้าเป็นคนรุ่นหลังคนแรกที่มาถึงที่แห่งนี้”

จักรพรรดิเซียนชุดคลุมยาวทองที่นั่งอยู่ตรงกลางสุดค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จักรพรรดิเซียนอีกสี่ตนที่เหลือที่อยู่ข้างกายก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน วินาทีนี้สายตาของทุกคนล้วนจ้องมองไปมาทางหลัวซิว

“ข้าคือจักรพรรดิอำพัน ผู้นำห้าจักรพรรดิแห่งยุคโบราณกัลปาวสาน คนรุ่นหลัง เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

จักรพรรดิอำพันชุดคลุมยาวทองยิ้มพลางถาม สุภาพอ่อนโยน แววตาที่มองไปทางหลัวซิวเหมือนมองศิษย์ทายาทของตัวเองยังไงอย่างนั้น

“ผู้น้อยหลัวซิวขอรับ”หลัวซิวเดินขึ้นไปก้มคำนับ แล้วตอบกลับอย่างสุขุม

“แซ่หลัว?”

สีหน้าอารมณ์ของจักรพรรดิอำพันดูตะลึงเล็กน้อย “ข้าสามารถสัมผัสออร่าของไร้ลักษณ์ไท่ซ่างได้จากตัวเจ้า หรือว่าเจ้าเป็นทายาทของไท่ซ่าง?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเผ่าไท่ซ่างต้องมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทั้งไม่เพียงสามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงยุคบรรพกาลเท่านั้น มิฉะนั้นจักรพรรดิเซียนทั้งห้าแห่งยุคบรรพกาลจักให้ความสนใจมากเช่นนี้ได้อย่างไร?

“อดีตชาติของผู้น้อยยังมีอีกชื่อหนึ่งขอรับ ไท่ซ่างฉิง”หลัวซิวไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้แต่อย่างใด

“อดีตชาติ? ภพชาตินี้?”

สีหน้าอารมณ์ของจักรพรรดิเซียนทั้งห้าล้วนมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ตาม หากคนคนนั้นเคยมีชีวิตมาสองภพชาติ แสดงว่าต้องมีประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งแน่นอน

“ชื่อเป็นเพียงรหัสประจำตัว ในเมื่อบนตัวเจ้ามีการถ่ายทอดสืบสานของไร้ลักษณ์ เช่นนั้นก็เป็นเชื้อสายไท่ซ่าง”

จักรพรรดิอำพันกล่าวเช่นนี้ “การถ่ายทอดสืบสานของไร้ลักษณ์ไท่ซ่างยาวนานอย่างยิ่ง แต่ทว่าผู้ที่สามารถส่งเสริมให้วิถีไร้ลักษณ์เจริญรุ่งเรืองและโดดเด่นกว่าใครเขากลับมีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย”

“การที่เจ้าอยู่ในแดนเซียนชั้นฟ้าแล้วมีดอกผลอย่างวินาทีนี้ มีพรสวรรค์ที่อยู่เหนือวุฒิจักรพรรดิเลิศล้ำ บางทีอนาคตเจ้าอาจมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่สามารถบรรลุเป็นจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำ แล้วก้าวเข้าสู่ระดับขั้นที่สูงยิ่งกว่า”จักรพรรดิอำพันพูด

“อยู่เหนือจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำ?”หลัวซิวตะลึง ภายในใจเปี่ยมล้นไปด้วยข้อสงสัย

“จากแดน ณ ปัจจุบันของเจ้า การที่พูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้มันยังเร็วไปหน่อย อนาคตคอยเจ้าบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเซียนเมื่อไหร่ เจ้าก็จะเข้าใจเรื่องบางอย่างเอง ข้าจึงจะไม่บอกเจ้าตอนนี้”

จักรพรรดิอำพันยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็โบกมือครั้งหนึ่ง ก่อนจะมีแสงทองดวงหนึ่งห่อหุ้มกล่องหยกใบหนึ่งค่อย ๆ บินลอยมา แล้วลอยอยู่ตรงหน้าหลัวซิว

“ในเมื่อเจ้าผ่านด่านที่จักรพรรดิขจี จักรพรรดินิล จักรพรรดิเพลิงและจักรพรรดิธวัลเฝ้าคุ้มกันรักษาแล้ว จึงมีสิทธิ์ได้รับโชคโอกาสนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็ตื่นเต้นดีใจมากจนสงบอารมณ์ไว้ไม่อยู่ สายตาถูกกล่องหยกที่อยู่ตรงหน้าดึงดูดไป ซึ่งสังเกตไม่เห็นแต่อย่างใดว่าจักรพรรดิเซียนทั้งสี่ที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิอำพัน ล้วนจ้องมองไปทางจักรพรรดิอำพันด้วยแววตาที่ดูถูก

“ท่านพี่ ท่านทำเช่นนี้มันไม่มีความเมตตากรุณาเลยนะ คงไม่ได้กลัวว่าจะพ่ายแพ้ให้รุ่นหลัง ฉะนั้นจึงจงใจปล่อยให้เขาผ่านด่านไปหรอกกระมัง?”

“ท่านพี่ ท่านไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”ไม่ต้องพูดก็รู้อยู่ว่าคำพูดนี้พ่นออกมาจากปากจักรพรรดิเพลิง

“ผู้น้อยคนนี้อยู่ในแดนเซียนชั้นฟ้า ในมือยังมีภัณฑ์เซียนสามชิ้น และจักรพรรดิธวัลก็ถ่ายทอดกระบี่เส้าเฮ่าให้เขาด้วย เช่นนี้ก็เท่ากับว่ามียุทธภัณฑ์เซียนเลิศล้ำที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งสี่ชิ้น การที่ท่านพี่จะรู้สึกว่าตัวเองสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ไหวนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติมากเลยนี่”

จักรพรรดิเซียนทั้งสี่ต่างพากันเย้ยหยัน ทว่าพวกเขาต่างสื่อสารกันด้วยตัวสำนึกส่งเสียง

แต่จักรพรรดิอำพันกลับไม่แยแสอะไร ไม่สนใจเสียงบ่นและเสียงแขวะของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าหลัวซิวกำลังจะยื่นมือออกไปเปิดกล่องหยกออก เขาก็เอ่ยปากห้ามปรามกะทันหัน

“อย่าเปิดที่นี่ แม้นพวกเราจักรพรรดิทั้งห้าจะทิ้งตราประทับร่างผันคอยคุ้มกันของสิ่งนี้อยู่ที่นี่ ทว่าตกลงของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่นั้น แม้แต่พวกเราทั้งห้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ในเมื่อผู้ที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้ที่นี่ไม่อยากให้เรารู้ ฉะนั้นเจ้าก็อย่าเปิดมันต่อหน้าพวกเราเลย”

เสียงของจักรพรรดิอำพันค่อย ๆ สะท้อนมา ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนผู้ที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้จะมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิทั้งห้าก็ไม่กล้าสอดแนมของที่เขาทิ้งไว้ ไม่กล้าสัมผัสปานคำสาปต้องห้าม

นี่จึงทำให้จิตใจของหลัวซิวเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย เขาอยากสอบถามแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเริ่มอย่างไรดี อีกทั้งดูจากลักษณะท่าทีของจักรพรรดิทั้งห้าตนนี้ เหมือนไม่มีความคิดที่จะบอกความลับอะไรให้กับเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ