มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3169

เพ่งตามองกล่องหยก มันคือพลังและเลือดหนึ่งหยดที่เหมือนดั่งอำพันสีม่วง และมีชี่โลหิตที่เข้มข้นและมากมายมหาศาลแพร่กระจายออกมา

“พลังและเลือด?”

สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูตลึง ซึ่งเขาก็เคยคาดเดาไว้หลายรูปแบบเช่นกันว่าของที่อยู่ในกล่องหยกคืออะไรกันแน่

แต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า สิ่งที่ถูกจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำทั้งห้ากล่าวขานว่าเป็นโอกาสอันไร้เทียมทานจะเป็นพลังและเลือดหนึ่งหยดอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้นเอง พลังและเลือดที่อยู่ในกล่องหยกก็เหมือนสัมผัสพลังออร่าของหลัวซิวได้ มันบินออกมาจากกล่องหยกทันที แล้วพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของหลัวซิว

ออร่าของพลังและเลือดหยดนี้ลึกซึ้งมากมายมหาศาล ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ตนก็ต่ำต้อยเล็กน้อยปานมดตัวจ้อย

นี่จึงทำให้เขารู้สึกตะลึงมาก แค่พลังและเลือดหนึ่งหยดก็น่ากลัวขนาดนี้แล้ว หากเจ้าของพลังและเลือดหยดนี้ปรากฏต่อหน้าตน เช่นนั้นแม้แต่มดตัวจ้อยเขาก็เทียบเคียงด้วยไม่ได้มิใช่หรือ?

หลัวซิวไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด เนื่องจากเขาค้นพบว่าแม้ตัวเองจะอยากหลบหนี แต่เมื่ออยู่ภายใต้การปกคลุมของออร่าธรรมเวชที่ลึกซึ้งและมากมายมหาศาลนั่น เขาก็หลบหลีกไม่ได้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พลังและเลือดหยดนั้นพุ่งมากลางหว่างคิ้ว แล้วหลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขา

เพียงพริบตาเดียว พลังที่มากมายมหาศาลก็เปี่ยมล้นไปทางร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเหมือนร่างกายอยู่ในสภาวะโปร่งใส สามารถมองเห็นการไหลเวียนของพลังชี่โลหิต มีชี่โลหิตสีแดงฉานเปล่งประกายอยู่ทั่วร่างกาย

“โครม!”

หลัวซิวรู้สึกว่าสมองของตัวเองว่างเปล่าไปหมด ราวกับมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องขึ้นมา จากนั้นจิตสำนึกของเขาก็เหมือนถูกฉุดดึงเข้าไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา มาถึงยุคสมัยที่เก่าแก่และไกลโพ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

นั่นคือตรีภพหรือกลุ่มธาตุอากาศสลัวแห่งหนึ่งที่เชี่ยวกรากอย่างไร้ขอบเขต มีพลังออร่าที่น่าสยดสยองแพร่กระจายออกมาจากเงาร่างที่สูงใหญ่ รอบกายมีชี่ม่วงโอบล้อม ประหนึ่งจักรพรรดิเลิศล้ำในตรีภพ

ร่างกายของยักษ์เลือนลาง ขยำมือครั้งหนึ่ง ตรีภพก็ผนึกรวมกัน กลายเป็นขวานเล่มหนึ่ง บุกเบิกฟ้าดิน!

ถัดจากนั้นยักษ์ก็อ้าปากแล้วพ่นลมออกมา แล้วกำเนิดสรรพสิ่งในฟ้าดิน

และต่อมาก็มีรัศมีเซียนสาดส่องออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของยักษ์ วิวัฒนาการวัฏสงสาร ความเป็นตายตัดสลับกัน ริเริ่มเกณฑ์

แค่ขยับร่างกายเกณฑ์สูงศักดิ์ทั้งสามอย่างตรีภพ ลิขิตและวัฏสงสารก็ถูกวิวัฒนาการออกมา ด้านหลังของยักษ์ตนนั้นมีตรีภพตัดสลับกัน มีออร่าของสรรสร้างและทำลายล้างตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ

เห็นได้ชัดเจนนะว่านี่คือผู้แข็งแกร่งตนหนึ่งที่ยึดกุมเกณฑ์เลิศล้ำสองประเภทอย่างสรรสร้างและทำลายล้าง ยิ่งกว่านั้นคือหลัวซิวรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามได้สัมผัสกับความลึกลับและมหัศจรรย์เสี้ยวหนึ่งของระเบียบแล้ว พลังแห่งเกณฑ์ที่เชี่ยวกรากอยู่บนร่างกายฝ่ายตรงข้าม ราวกับล้วนถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะยังไงอย่างนั้น

ระเบียบกำหนดเกณฑ์ เกณฑ์กำหนดกฎ เริ่มจากสูงไปต่ำ ความแตกต่างนั้นสังเกตเห็นได้ชัดเจนเลย

“โครมคราม……”

ทันใดนั้นเอง ตรีภพที่ไร้ขอบเขตก็ถูกฉีกกระชากออก ก่อนจะมีเงาร่างสีดำขลับร่างหนึ่งปรากฏ แล้วมีพลังวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่งตลบฟุ้งออกไป

พลังวิญญาณเหมือนแหขนาดใหญ่ แผ่ขยายออกไปแล้วประกอบไปอาณาจักร ปกคลุมทั้งตรีภพเอาไว้

ยักษ์ปะทะกับเงาร่างสีดำขลับอย่างรุนแรง เข่นฆ่ากันจนฟ้าดินแตกร้าว ตรีภพแหลกสลาย ทั้งสองต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยึดกุมเกณฑ์เลิศล้ำ ภาพการปะทะของเกณฑ์ทำลายล้างโอ่อ่ายิ่งใหญ่ และอันตรายอย่างยิ่ง

สุดท้ายอย่าก้าวเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ฉีกกระชากเงาร่างสีดำขลับนั่น สิ้นสุดศึกสงครามใหญ่ในครั้งนี้

ในขณะเดียวกัน จิตสำนึกของหลัวซิวก็ถูกฉุดดึงกลับคืนมาภายในเสี้ยววินาที กลับคืนสู่ร่างดั้งเดิม

“ตู้มม!”

เสี้ยววินาทีที่จิตสำนึกหวนคืนสู่ร่างดั้งเดิม สิ่งแรกที่หลัวซิวได้ยินคือเสียงเต้นของหัวใจที่หนักแน่น

ความรู้สึกเหมือนตัวเองได้ลอกคราบใหม่ยังไงอย่างนั้น เมื่อสำรวจภายในร่างกาย สามารถมองเห็นเลือดที่มีแสงม่วงเปล่งประกาย ยิ่งกว่านั้นคือพลังร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าอดีตไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อมูลชุดหนึ่งปรากฏในหัวเขา ซึ่งเป็นวรยุทธ์วิชาหนึ่ง อมฤตาลัย!

จิตใจของหลัวซิวถูกความล้ำลึกของผลล้ำธรรมเวชที่บรรยายในวรยุทธ์วิชานี้ดึงดูดไปภายในพริบตา ยังไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นวรยุทธ์กลั่นร่างที่ชุบร่างเนื้อ ผนึกรวมสายเลือดโดยเฉพาะ!

อ้างอิงจากการบรรยายในวรยุทธ์วิชานี้ หากสามารถฝึกถึงแดนที่สูงที่สุด เช่นนั้นมาตรแม้นว่าตกอยู่ในการโจมตีของเกณฑ์สรรค์ดับเลิศล้ำ ก็จักไม่มอดไหม้กลายเป็นผู้เป็นอมตะ

การลดเวลาจัดส่งผลกระทบต่อห้วงเวลาและคลื่นเกณฑ์อื่น ๆ รอบ ๆ ด้วยเหตุนี้หากใช้สีมาเพลาขณะตระหนักธรรมเวช ก็จะทำให้ความเป็นไปได้และประสิทธิผลในการตระหนักธรรมเวชลดลง

สีมาเพลาจะเกิดประโยชน์มากที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงกลั่นยาหรือยกระดับผลการฝึกตน

ในโลกเซียน ผู้แข็งแกร่งทุกตนที่ฝึกเกณฑ์เวลาล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากมาก โดยส่วนใหญ่แล้วทุกกองกำลังใหญ่ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็มีแดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกตนที่สามารถลดเวลาได้เช่นกัน

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดเหล่าเทพธิดาเทพบุตรแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหลาย ถึงสามารถก้าวเข้าสู่แดนเซียนตลอดจนบรรลุเป็นเซียนชั้นฟ้าได้ทั้งที่อายุยังหนุ่มสาวมาก ๆ

เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาในโลกาภายนอกผ่านไปแล้วหนึ่งร้อยปี แต่หลัวซิวที่อยู่ในสีมาเพลากลับใช้เวลาไปเกือบสองหมื่นปีแล้ว

หากอยู่ในโลกของปุถุชนทั่วไป ระยะเวลาสองหมื่นปีถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของโลกเลย แต่เมื่ออยู่ในโลกเซียน ระยะเวลาแค่นี้กลับไม่นับอะไร ผู้แข็งแกร่งทุกตัวที่ก้าวเข้าสู่วิถีเซียนแทบจะมีอายุขัยที่เป็นอมตะแล้ว

แต่ทว่าจำนวนผู้แข็งแกร่งแห่งโลกเซียนแทบจะถูกรักษาให้อยู่ในจำนวนที่คงที่ตลอดไป ในทุก ๆ ปีจะมีคนจำนวนมากบรรลุเป็นเซียน เซียนดินและเซียนชั้นฟ้า

ในขณะเดียวกัน ในทุก ๆ วันก็มีเซียนจำนวนมากตายจากไป รบตาย การฝึกตนมีปัญหา หรือบุกเข้าไปในสถานที่อันตรายขณะแสวงหาโชคโอกาส

ต้นโอสถเซียนขั้นฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในมือแทบจะถูกใช้จนหมดแล้ว แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตกลงตัวเองกลั่นโอสถเซียนขั้นฟ้าไปแล้วกี่เม็ด ในที่สุดก็ถือว่าก้าวเข้าสู่แดนขั้นปฐมภูมิขั้นแรกของอมฤตาลัยสักที

ขั้นปฐมภูมิขั้นแรก ร่างยุทธ์ร่างเนื้อสามารถต้านทานประมุขเซียน!

อีกทั้งวรยุทธ์อย่างอมฤตาลัยแข็งกร้าวอย่างยิ่ง ฤทธิ์ยาและจิตเซียนอันมากมายมหาศาลที่แฝงซ่อนอยู่ในโอสถเซียนขั้นฟ้าถูกร่างกายดูดซับกลั่นแปรจนหมดจด ตลอดช่วงระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมานี้ ผลการฝึกตนของเขาไม่มีการเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย

หลังจากออกจากการปิดขัง หลัวซิวก็เหยียบอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง พลางเบิ่งมองสถานเบญจธาตุที่กว้างใหญ่ไพศาล

ในมือเขายังมีม้วนหยกของสถานเบญจธาตุอีกหนึ่งชิ้น เดิมทีที่เขาเดินทางมาสถานเบญจธาตุนั้น ก็แค่ต้องการตามหาต้นโอสถเซียนขั้นฟ้าเพื่อสนองความต้องการในการฝึกตนของตัวเองเท่านั้น

แต่กลับไม่นึกเลยว่าจะได้รับโชคโอกาสที่ไร้เทียมทานที่นี่ ต้นโอสถเซียนที่ได้รับมีมากกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ๆ แต่ทว่าเนื่องจากวรยุทธ์อมฤตาลัย ส่งผลให้แม้จะมีต้นโอสถเซียนมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่พอใช้อยู่ดี

มารไม้เคยบอกว่าในสถานเบญจธาตุมีโชคโอกาสที่ห้าจักรพรรดิทิ้งไว้ไม่น้อย หลัวซิวรู้สึกว่าหากเขาต้องการยกระดับผลการฝึกตนศักยภาพของตัวเอง เขาก็ต้องใช้ข้อได้เปรียบของตราห้าจักรพรรดิ พยายามตามหาโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่ในนี้อย่างสุดกำลังสามารถ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ