มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3170

ในเมื่อเป็นเบญจธาตุ ป่าไม้ขจีเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไม้ เช่นนั้นก็ต้องมีสถานที่อื่น ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของสี่ธาตุที่เหลือในเบญจธาตุอย่างแน่นอน

นอกเหนือจากป่าไม้ขจีแล้ว ภูเขาเพลิงอัคคีก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในสถานเบญจธาตุเช่นกัน ถ้าเกิดบอกว่าพิษในป่าไม้ขจีสามารถปลิดชีพผู้คนได้อย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

เช่นนั้นภูเขาเพลิงอัคคีก็คือสถานที่ที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงอัคคี บางทีทุกอย่างอาจจะดูเงียบสงบมาก ๆ แต่จู่ ๆ ก็จะมีเปลวเพลิงที่ลุกโชนปะทุออกมาจากใต้ดิน แล้วแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลี

ในมุมมองของหลัวซิว ป่าไม้ขจีและจักรพรรดิขจีความเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นภูเขาเพลิงอัคคีก็น่าจะเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเพลิงทิ้งไว้แล้วล่ะ

เล่ากันว่าในสถานเบญจธาตุ ภูเขาเพลิงอัคคีเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการตระหนักพลังอมตะเกณฑ์เพลิงอัคคีมากที่สุด ทว่าเนื่องจากที่นี่อันตรายเกินไป โดยส่วนใหญ่แล้วมีน้อยคนมากที่กล้าบุกรุกเข้าไปในส่วนลึก มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเซียนบุกเข้าไปสิบตน ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็มีไม่ถึงสาม

แต่ใต้หล้ามักจะมีคนไม่กลัวตายอยู่เสมอ เพื่อเป็นการตระหนักพลังอมตะเกณฑ์เพลิงอัคคีที่ทรงพลัง ในทุก ๆ ปีจะมีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากทยอยเข้าไปฝ่าฟัน อย่างไรเสียภายในภูเขาเพลิงอัคคีไม่เพียงสามารถตระหนักพลังอมตะได้เท่านั้น ยังมีสมบัติธาตุไฟอีกไม่น้อยด้วย

ภูเขาเพลิงอัคคีไม่ใช่ภูเขาลูกหนึ่งแต่อย่างใด แต่เป็นแนวเทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟลุกโชนที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเมฆหมอกสีแดงบดบัง ทำให้ผู้คนมองภาพเหตุการณ์ภายในไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ

ในเมฆหมอกก็มีพิษเช่นกัน แต่ไม่ใชพิษร้ายแรงเหมือนธาตุไม้ แต่เป็นพิษไฟ

ภูเขาเพลิงอัคคีถูกขนานนามว่าเป็นสถานต้องห้ามของเซียนชั้นฟ้า มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่ามหาเซียนเป็นต้นไปถึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปภายใน ทั้งยังต้องแบกรับบทความเสี่ยงที่อาจจะดับสลายสูญสิ้นได้ตลอดเวลาด้วย

ทว่าเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เขากลับไม่มีความลังเลใจและไตร่ตรองเลยแม้แต่น้อย เงาร่างกระพริบครั้งหนึ่ง แล้วเข้าไปในเมฆหมอกปานเมฆแดงนั่นแล้ว

นี่ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่เป็นเพราะหลัวซิวมีตราห้าจักรพรรดิ ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวไปยังทุกสถานที่ในสถานเบญจธาตุได้อย่างราบรื่น

หลังจากที่เดินเข้าไปในสถานเบญจธาตุ หลัวซิวก็มองเห็นเถ้าถ่านร่างมนุษย์หลายร่าง ในส่วนของพิษไฟที่ตลบฟุ้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้นั้น กลับลอยห่างจากรอบกายประมาณสามสิบเมตร

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวสัมผัสออร่าที่ร้อนแผดเผาได้จากหว่างคิ้วตนเอง ตราจักรพรรดิเพลิงปรากฏกลางหว่างคิ้ว แสดงประสิทธิผลที่นี่

จึงพิสูจน์การคาดคะเนของหลัวซิวแล้วว่าสถานเบญจธาตุนี่มีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเพลิงจริง ๆ

เกณฑ์เพลิงอัคคีที่อยู่ในเบญจธาตุเหมือนไม่มีอะไรโดดเด่น แท้จริงแล้วยิ่งเป็นเกณฑ์ที่ดูธรรมดาเรียบง่ายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้แฝงซ่อนอยู่มากเท่านั้น

หากเพลิงอัคคีบรรลุถึงแดนที่แน่นอน มันยิ่งสามารถแผดเผาปริภูมิ หลอมละลายเวลา ทำให้ทุกสรรพสิ่งสลายหายไป

เพลิงอัคคีสามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่ง หงส์ก็สามารถถือกำเนิดขึ้นมาในเพลิงอัคคีได้ด้วย ดังนั้นในเพลิงอัคคีก็มีความลึกลับและมหัศจรรย์ของความเป็นตายลิขิตแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน

ซึ่งจักรพรรดิเพลิงก็เป็นผู้แข็งแกร่งดังที่กล่าวมาข้างต้น เขาฝึกเกณฑ์เพลิงอัคคีธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้แดนเดียวกัน มาตรแม้นว่าเป็นเหล่าอัจฉริยะที่ฝึกเกณฑ์ห้วงเวลาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยิ่งกว่านั้นคือเขายังสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนอยู่เหนือตัวเองได้ด้วย

จากการที่การตระหนักเกณฑ์สูงศักดิ์ของจักรพรรดิเพลิงเพิ่มสูงขึ้น เขาสามารถฝึกเซียนอัคคีลิขิต เซียนอัคคีตรีภพและเซียนอัคคีวัฏสงสารออกมาได้ด้วย ซึ่งเซียนอัคคีทุกประเภทล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง

หลัวซิวไม่รู้ว่าจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำยึดกุมเกณฑ์สรรค์ดับแล้วหรือยัง หากยึดกุมแล้วละก็ เช่นนั้นเกณฑ์เพลิงอัดคีก็จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป แต่จะผันเป็นอัคคีสรรสร้างและอัคคีทำลายล้างเลิศล้ำ

หลับตาลง หลัวซิวอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีพิษไฟตลบฟุ้งไปทั่ว กระทั่งหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมา สัมผัสได้ว่ามีแรงสั่นของเพลิงอัคคีพิเศษสะท้อนมาจากด้านหน้า

เงาร่างหลัวซิวกระพริบครั้งหนึ่ง พุ่งตรงไปทันที หลังจากนั้นเขาก็เห็นภูเขาลูกหนึ่ง บนหน้าผาลายพร้อยมีฝ่ามือหนึ่งฝ่ามือ และมีออร่าของกาลเวลาไหลเวียนออกมาจากฝ่ามือดังกล่าว

สามารถพูดได้เลยว่าเสี้ยววินาทีที่มองเห็นฝ่ามือนั่น หลัวซิวก็รู้แล้วว่าฝ่ามือดังนี้ต้องเป็นฝ่ามือของจักรพรรดิเพลิงแน่นอน

เนื่องจากเขาเคยประมือกับจักรพรรดิเพลิงมาก่อน จึงต้องคุ้นเคยกับพลังออร่าของจักรพรรดิเพลิงดีอยู่แล้ว

แต่ทว่าเนื่องจากกาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานเกินไป ออร่าที่แฝงซ่อนอยู่ในฝ่าเบาบางลงไปมาก ๆ แล้ว แต่หลัวซิวยังมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางสัมผัสผิดแน่นอน

ครั้นบุกเบิกสถานเบญจธาตุ จักรพรรดิเพลิงก็เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำแล้ว สภาวะเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิที่อยู่บนเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิต่างจากวินาทีโดยสิ้นเชิงเลย

จักรพรรดิเพลิงทิ้งภูเขาเพลิงอัคคีไว้ที่นี่ ทิ้งโชคโอกาสให้ผู้ฝึกตนยุคหลัง เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางทิ้งฝ่ามือนี้ไว้ที่นี่อย่างไร้เหตุผลแน่นอน

ดังนั้นหลัวซิวจึงหยุดอยู่ที่นี่ ก่อนจะแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป สัมผัสท่วงเซียนลึกซึ้งที่ไหลเวียนอยู่บนฝ่ามือ ดูเหมือนในฝ่ามือดังกล่าวจะมีพลังอมตะที่ทรงพลังแฝงซ่อนอยู่วิชาหนึ่ง

หลัวซิวใช้ใจตระหนัก หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็ดึงตัวสำนึกกลับมา

เหมือนอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ภายในฝ่ามือดังกล่าวมีพลังอมตะที่ลึกซึ้งวิชาหนึ่งแฝงซ่อนอยู่จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นคือระดับของพลังอมตะวิชาดังกล่าวสามารถเทียบเคียงกับพลังอมตะจักรพรรดิเซียนส่วนมากได้แล้ว

อย่างไรก็ตามนี่กลับไม่ใช่พลังอมตะที่หลัวซิวต้องการ เพราะเวทย์ต้องห้ามที่เขาริเริ่มฝึกฝนเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดแล้ว

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เขาจึงไม่มองฝ่ามือที่อยู่บนหน้าผาอีก แต่เป็นการก้าวเดินไปด้านหน้า วางแผนที่เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของภูเขาเพลิงอัคคี เพื่อดูว่ามีโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่

“ในป่าไม้ขจีมีมารพฤกษ์ ในภูเขาเพลิงอัคคีมีมนุษย์หินลาวา แต่ทว่ามนุษย์หินของที่นี่ไม่มีธาตุทิพย์สติปัญญาเหมือนมารพฤกษ์ มีเพียงสัญชาตญาณในการโจมตี”

หลัวซิวก้าวเดินไปด้านหน้า หลังจากเขาก้าวเข้าสู่สถานที่ที่เป็นทำนองเดียวกับหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็มีมนุษย์หินลาวานับร้อยตนปรากฏรอบหุบเขา

สุดท้ายก็มีมนุษย์หินลาวาที่สูงเกือบสามสิบเมตรตนหนึ่งปรากฏ พลังออร่าที่ตลบฟุ้งออกมาเทียบเท่าราชาเซียน ร่างกายเกะกะระรานอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถเทียบทัดมณีกษัตริย์เซียน

คู่ต่อสู้เช่นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เขาใช้หวูจี๋ปลุกเสก กระตุ้นหมัดเต๋าถล่ม ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ก็ทำการโจมตีมนุษย์หินลาวาที่แข็งแกร่งตนนี้จนแตกสลายเป็นฝุ่นผง

จากนั้นเขาก็ลึกเข้าไปต่อ หลังจากหลัวซิวมองเห็นมนุษย์หินลาวาที่สูงสามร้อยกว่าเมตรได้จากที่ไกล ๆ เขาก็ปลดปล่อยพลังออร่าของตราจักรพรรดิเพลิงออกไป

กำลังรบของมนุษย์หินลาวาสามร้อยเมตรเทียบเท่าประมุขเซียนแล้ว จากศักยภาพ ณ​ ปัจจุบันของเขา ยังไม่สามารถต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้

เมื่อมีการปลุกเสกจากพลังออร่าของตราจักรพรรดิเพลิง หลังจากพบเห็นเขา มนุษย์หินลาวาสามร้อยเมตรนั่นกลับล้มคลานลงไปกับพื้น พลางส่งเสียงปานสวามิภักดิ์ ประหนึ่งพสกนิกรที่ต่ำต้อยมองเห็นราชาที่เลิศล้ำ

และแล้วหลัวซิวก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาเพลิงอัคคีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ที่นี่มีผนังหินที่มันวาวเยอะมาก ๆ ในขณะเดียวกันก็มีมนุษย์หินลาวาวนเวียนอยู่บริเวณรอบ ๆ เยอะมากเช่นกัน ซึ่งกำลังรบของพวกเขาไม่ต่ำกว่าระดับประมุขเซียน

สามารถพูดได้เลยว่าตั้งแต่โบราณกาลมา มีน้อยคนมากที่สามารถย่างกรายเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ได้

มีรูปภาพลวดลายปรากฏบนผนังหินอยู่เป็นระยะ ๆ มันเป็นลวดลายที่เก่าแก่มาก ซึ่งบันทึกเรื่องราวบางอย่างที่ขาด ๆ หาย ๆ

บนบางผนังหิน เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์มีปีกสีดำร่างหนึ่ง บนหน้าผากมีนอหนึ่งนอ ใบหน้าดุร้าย มีดวงตาสีม่วง ปีกดำที่อยู่ด้านหลังมีทั้งหมดสามคู่

การบรรยายของภาพวาดบนผนัง สิ่งมีชีวิตปานอสูรร้ายเทียบเท่าประมุขเซียน บนสนามรบ มีชีวิตที่เป็นทำนองนี้เยอะมาก ๆ ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบันนี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

สิ่งที่บรรยายบนผนังหินคือสงครามครั้งหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้เลยว่าเป็นภาพย่อส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงสงครามครั้งหนึ่ง แม้นจักเป็นเช่นนี้ เขาก็มองเห็นปีศาจร้ายที่มีปีกสามคู่นับพันตนแล้ว ซึ่งนี่ก็เท่ากับมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเซียนนับพันตนมิใช่หรือ?

หลัวซิวมองดูจนรู้สึกตะลึงมาก เขาไม่เข้าใจว่าภาพวาดบนผนังหินที่จักรพรรดิเพลิงทิ้งไว้มีเจตนาอะไรกันแน่

แต่หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อยู่ว่า เหมือนจักรพรรดิเพลิงกำลังบันทึกบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ