ในเมื่อสิ่งที่ย่างกรายมาคือจิตสำนึก หลัวซิวจึงไม่กังวลใจอีกต่อไป เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงภาพมายา
ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขากำลังไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ สาเหตุที่ตราจักรพรรดิเพลิงฉุดดึงจิตสำนึกของเขาเข้ามาในภาพมายาแห่งนี้เพราะจะบอกอะไรตัวเองหรือ?
“ไม่นึกเลยว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ ในที่สุดก็มีคนรุ่นหลังได้รับตราประทับของจักรพรรดิอย่างข้าเสียที”
จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงดังก้องอยู่ข้างหูหลัวซิว ทำให้เขาตื่นตกใจ
“ผู้ใด?”
เขากวาดตามองดูรอบ ๆ รอบกายมีแสงม่วงอ่อนแย้มบานไปทั่วทุกสารทิศ ไม่เห็นสภาพแวดล้อมที่แท้จริงเลย มีแค่เพียงซากศพจักรพรรดิเซียนที่ผุพัง ทำให้คนพบเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวขนหัวลุกซู่
“ข้านั้นมีนามว่า……จักรพรรดิเพลิง!”
เสี้ยววินาทีที่เสียงของฝ่ายตรงข้ามสะท้อนเข้าไปในหูหลัวซิวอีกครั้ง ตัวเขาก็ผงะไปเลย
หนึ่งในจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำทั้งห้าแห่งยุคโบราณกัลปาวสาน จักรพรรดิเพลิง?
แม้นหลัวซิวจะเคยคลุกเคล้ากับจักรพรรดิเซียนทั้งห้าบนเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิ ทว่าหากพูดให้แม่นยำหน่อยคือนั่นเป็นเพียงตราประทับที่จักรพรรดิเซียนทั้งห้าทิ้งไว้เมื่อหลายล้านล้านปีก่อน ซึ่งไม่ใช่ร่างแท้ของจักรพรรดิเซียนแต่อย่างใด
มีเพียงหลังจากตราห้าจักรพรรดิหวนคืนสู่ร่างแท้แล้ว จักรพรรดิเซียนทั้งห้าถึงจะทราบว่าในโลกใบนี้มีคนอย่างเขาคงอยู่ด้วย
ตั้งแต่โบราณกาลมา กาลเวลาได้ผ่านพ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ตกลงจักรพรรดิเซียนผู้ไร้เทียมทานแห่งเก้าสวรรค์สิบปฐพีไปที่ใดแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับตลอดมา
นี่จึงทำให้ภายในจิตใจหลัวซิวเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อสงสัย สาเหตุที่ตราจักรพรรดิเพลิงโน้มนำให้เขามาที่นี่เพราะเหตุใดกันแน่? แล้วภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
“เวิง!”
ทันใดนั้นเอง ตราจักรพรรดิเพลิงก็บินออกมาจากหว่างคิ้วหลัวซิว เสมือนแสงเทียนที่ล่องลอยบินตรงไปยังส่วนลึกของเส้นทางที่อยู่ด้านหน้า แต่ก็เหมือนดวงไฟที่นำทางให้เขาด้วย
ในเมื่อเป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นด้วยจิตสำนึก หลัวซิวจึงไม่มีความกังวลใจใด ๆ อีก ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป
กาลเวลาของยุคโบราณกัลปาวสานห่างจากปัจจุบันไกลมาก ๆ กาลเวลาที่ไร้ความปราณีได้กลบเกลื่อนประวัติศาสตร์ส่วนมาก แม้แต่เรื่องราวในยุคโบราณกัลปาวสานก็เล่าสืบต่อกันมาถึงยุคปัจจุบันน้อยมาก ๆ ทั้งยังถูกกองกำลังที่เก่าแก่ที่สุดในแดนต่าง ๆ เก็บรักษาไว้ในตำรา
เมื่อพูดถึงยุคบรรพกาล คนส่วนมากจะทราบว่ามีการคงอยู่ของจักรพรรดิเซียนไท่ซ่าง มีตำนานเรื่องเล่าของหกเผ่าพันธุ์บรรพกาล ส่วนข้อมูลที่มากกว่านี้นั้น กลับไม่มีคนใดทราบแล้ว
แม้จะเป็นยุคโบราณหลังที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ผ่านพ้นมาไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพแล้ว
อย่างน้อยหลัวซิวที่อยู่ในโลกเซียนก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับยุคโบราณกัลปาวสานมาก่อน ปัจจุบันเขากำลังจะสืบเสาะความลับของจักรพรรดิเซียนแห่งยุคโบราณกัลปาวสานตนหนึ่ง ไม่มีทางหากบอกว่าเขาไม่มีความสงสัยเลย
“คนรุ่นหลัง ผลการฝึกตนของเจ้าคืออะไร?”จู่ ๆ เสียงของจักรพรรดิเพลิงก็สะท้อนมาอีกครั้ง
“เซียนชั้นฟ้าขอรับ”หลัวซิวตอบกลับตามความจริง
“เป็นเพียงเซียนชั้นฟ้ารึ?”มีความท้อใจที่หนักแน่นปนอยู่ในน้ำเสียงของจักรพรรดิเพลิง ในขณะเดียวกันก็มีความตะลึงปนอยู่เช่นกัน
“อันที่สามารถฝ่าฟันอยู่บนเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิด้วยแดนเซียนชั้นฟ้า แล้วยังได้รับการยอมรับจากตราประทับได้นั้น เจ้าถือเป็นอัจฉริยะที่มีวุฒิจักรพรรดิเลิศล้ำจริง ๆ น่าเสียดายที่ผลการฝึกตนของเจ้าอ่อนเกินไป หากเจ้ามีผลการฝึกตนมกุฎเซียน มันจักดีเพียงใดกันนะ……”
“มกุฎเซียนที่มีวุฒิจักรพรรดิเลิศล้ำ อย่างน้อยก็มีกำลังรบที่เทียบทัดจักรพรรดิเซียนสุดหล้า”
ฟังจากคำพูดนี้ เหมือนจักรพรรดิเพลิงจะประเมินหลัวซิวไว้สูงมาก แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย อุปนิสัยก็ไม่ค่อยโดดเด่นเหมือนจักรพรรดิเพลิงผู้มีผลการฝึกตนเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิที่เจอบนเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่จิตใจห่อเหี่ยว
“ผู้อาวุโสพบปัญหาอะไรหรือเปล่าขอรับ? ข้าสามารถช่วยเหลืออะไรท่านได้หรือไม่?”หลัวซิวสอบถาม น้ำเสียงของจักรพรรดิเพลิงฟังดูไร้เรี่ยวแรงมาก ราวกับอัคคีแห่งชีวีสั่นไหว สามารถดับสูญได้ตลอดเวลา
“เห้อ……”
จักรพรรดิเพลิงถอนหายใจยาวอีกครั้ง “เจ้าก็น่าจะเห็นซากศพเหล่านั้นแล้ว”
หลัวซิวผงกหัว “ใช่ขอรับ มีซากศพทั้งหมดเก้าร่าง ทุกร่างล้วนเป็นจักรพรรดิเซียนหมดเลยรึ?”
“หากพูดให้แม่นยำควรบอกว่ามีจักรพรรดิเซียนสุดหล้าสามตน และจักรพรรดิเซียนธรรมดาหกตน……”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังพูดคุยกับจักรพรรดิเพลิงอยู่นั้น เขาก็มาถึงสุดปลายขอบเขตของเส้นทางที่มีชี่ม่วงขมุกขมัวนี่
สุดปลายขอบเขตของเส้นทางคือถ้ำที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง มีเสาหินคริสตัลที่ใหญ่โตหลายเสาตั้งตระหง่านอยู่ภายใน และมีแสงม่วงที่แวววับเป็นประกายระยิบระยับ
ตรงกลางเสาหินคริสตัลม่วงจำนวนมากคือแท่นหินหนึ่งแท่น มีเงาดำร่างหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน ซึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวมังกรสีแดงฉาน สวมใส่มงกุฎบนหัว ผอมแห้งปานกิ่งไม้
“จักรพรรดิเพลิง?”
เมื่อหลัวซิวเห็นเงาร่างบนแท่นหิน แววตาเขาก็เข้มงวดขึ้นมา แม้เขาจะไม่เคยเห็นร่างแท้ของจักรพรรดิเพลิงมาก่อน แต่กลับสามารถแยกแยะจากออร่าได้อยู่ และเงาร่างที่อยู่บนแท่นหินต้องเป็นจักรพรรดิเพลิงอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน!
“เจ้ามาแล้วรึ”
“ในเมื่อเป็นบุพเพสันนิวาสระหว่างเรา จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าอนาคตข้าอาจมีโอกาสออกไปมองโลกกว้างอีกครั้งหนึ่งจริง ๆ”
จักรพรรดิเพลิงพูดมาเยอะมาก ๆ เขาถูกปิดผนึกอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว แม้จะเป็นจักรพรรดิเซียน แต่พลังของเขาก็สูญหายไปเยอะมากแล้ว ส่งผลให้อ่อนแออย่างยิ่ง
แต่การปรากฏของหลัวซิวกลับได้มอบความหวังให้แก่เขา ทำให้เขามองเห็นแสงแห่งความหวัง
“ครั้นยุคโบราณกัลปาวสาน สาเหตุที่พวกเราจักรพรรดิเซียนทั้งห้าบุกเบิกสถานเบญจธาตุออกมานั้น หนึ่งคือเพื่อทิ้งเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิไว้ แล้วช่วยของสิ่งนั้นตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม สองคือการถ่ายทอดสืบสานที่พวกเราต่างทิ้งไว้ หากคนรุ่นหลังมีวาสนาได้ครอบครองมัน ศักยภาพก็จะยกระดับขึ้นอีกขั้น โอกาสในการก้าวเข้าสู่แดนจักรพรรดิเซียนก็เพิ่มสูงขึ้น”
“หากไม่บรรลุเป็นจักรพรรดิเซียน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงมดตัวจ้อย คอยเจ้าย่างกรายสู่แดนนี้เมื่อไหร่ เจ้าก็จะเข้าใจเรื่องทุกอย่างเอง”
จักรพรรดิเพลิงพูดมาเยอะมาก แต่ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับคลุมเครือ ทำให้หลัวซิวฟังไม่รู้เรื่อง
เขาไม่ได้สอบถาม แค่รับฟังอย่างเงียบ ๆ เพราะเขาเข้าใจดีมากว่าหากจักรพรรดิเพลิงไม่อยากพูดละก็ ต่อให้เขาถามไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน
“ผู้อาวุโส อนาคตจำเป็นต้องรอให้ข้าบรรลุถึงจักรพรรดิเซียนก่อนหรือ ถึงจะสามารถช่วยเหลือท่านได้?”หลัวซิวถาม
“มิเช่นนั้นล่ะ? จักรพรรดิเซียนเก้าตนใช้ดั้งเดิมเพื่อจัดวางค่ายผนึก ในเมื่อสามารถปิดผนึกข้าได้ ต่อให้จักรพรรดิเซียนเลิศล้ำตนหนึ่งเดินทางมา ก็ทลายได้ยากมาก”
จักรพรรดิเพลิงถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียดายมาก “ทว่าในเมื่อเจ้าสามารถฝ่าฟันผ่านเส้นทางแห่งห้าจักรพรรดิ บางทีอนาคตอาจจะอยู่เหนือจักรพรรดิเลิศล้ำอย่างเราก็เป็นได้ หรืออนาคตหากเจ้าสามารถพบเจอจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำตนอื่น ๆ สามารถร่วมมือกับจักรพรรดิเซียนเลิศล้ำสองตนแล้วมาช่วยเหลือข้าก็ได้”
“เวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว จะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ยากในวินาทีนี้ได้หรือไม่นั้น แท้จริงข้าก็ไม่ได้คาดหวังตั้งนานแล้ว เพื่อไม่ให้จากไปอย่างรู้สึกเสียดาย ข้าจักนำพลังอมตะวิชาหนึ่งถ่ายทอดให้แก่เจ้า”
ทันใดนั้นสายตาของจักรพรรดิเพลิงก็เพ่งมองไปทางหลัวซิว แม้นพลังออร่าของเขาจะอ่อนแอมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีอานุภาพจักรพรรดิเลิศล้ำที่ดูสูงส่งไม่เป็นรองอยู่เช่นเคย!
“พลังอมตะวิชานี้เป็นพลังที่ข้าอนุมานออกมาขณะถูกปิดผนึกอยู่ที่นี่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ ซึ่งมันทรงพลังกว่าทุกพลังอมตะที่ข้าในอดีตเคยริเริ่ม……”
จักรพรรดิเพลิงเอ่ยปากพูด จากนั้นก็มีข้อมูลชุดหนึ่งถ่ายทอดผ่านตราประทับของจักรพรรดิเพลิง ส่งตรงเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
“เผาจิต......”
พลังอมตะดังกล่าวที่จักรพรรดิเพลิงริเริ่มมีนามว่าเผาจิต ในเมื่อเขาถูกเรียกขานว่าจักรพรรดิเพลิง เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นจักรพรรดิแห่งไฟแห่งยุคโบราณกัลปาวสานอยู่แล้ว พอจะพูดได้เลยว่าตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ไม่มีคนใดสามารถเทียบเคียงฝีมือความสามารถบนเพลิงอัคคีกับเขาได้
เพลิงอัคคีสามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่ง และสามารถหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งได้เช่นกัน แต่ทว่าพลังอมตะวิชาดังกล่าวที่จักรพรรดิเพลิงริเริ่มกลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพลิงอัคคีที่ผนึกรวมมาจากพลังอมตะวิชานี้จะไม่แผดเผาร่างเนื้อและวิญญาณ และจะไม่แผดเผากฎเกณฑ์เช่นกัน
แต่จะเผาหัวใจ……สิ่งที่แผดเผาคือหัวใจมนุษย์ คือตัวธรรมของผู้ฝึกยุทธ์!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...