ในกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปอย่างยาวนาน จิตใจของหลัวซิวดื่มด่ำอยู่ในความล้ำลึกในขั้นแรกของอมฤตาลัยมาโดยตลอด
แค่ขั้นปฐมภูมิก็ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มขนาดนี้แล้ว ความล้ำลึกของธรรมเวชที่บรรยายภายในก็มหัศจรรย์ถึงขีดสุด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลัวซิวรู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปไม่ต่ำกว่าอีกร้อยปี เขาถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มคุ้นเคยเข้าใจขั้นปฐมภูมิของอมฤตาลัย
“ข้าคุ้นเคยเข้าใจขั้นแรกขั้นปฐมภูมิแล้ว และก็ถึงเวลาหลอมรวมเข้าไปในวิถีไร้ลักษณ์ของข้าแล้ว จากนั้นเป้าหมายต่อไปก็คือตระหนักแดนสำเร็จน้อยของขั้นแรก”
สำหรับวรยุทธ์นี้ หลัวซิววางแผนที่จะค่อย ๆ ฝึกฝนไปตามลำดับ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจจนกระจ่างชัดแจ้ง จากนั้นค่อยหลอมรวมเข้าไปในวิถีไร้ลักษณ์ของตัวเอง บางทีอาจสามารถริเริ่มเวทย์ต้องห้ามที่เป็นหัวใจสำคัญออกมาหนึ่งวิชาก็เป็นได้
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ร่างเนื้อก็เหมือนบรรจุภัณฑ์ ร่างเนื้อยิ่งแข็งแกร่ง จิตเซียนที่สามารถรองรับก็ยิ่งมาก และสามารถควบคุมเกณฑ์ที่ทรงพลังยิ่งกว่าได้ด้วย
แม้จะอยู่ในแดนผลการฝึกตนเดียวกัน ต่อให้นำจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนเซียนชั้นฟ้าขั้นปฐมภูมิร้อยตนมารวมเข้าด้วยกัน ก็เทียบเคียงกับจิตเซียนอันมากมายมหาศาลที่สั่งสมอยู่ในร่างกายหลัวซิวไม่ได้
แม้ผลการฝึกตนของเขาจะไม่สูง แต่ด้านการสั่งสมจิตเซียนของเขากลับไม่ด้อยกว่าราชาเซียนแล้ว
และเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งมากเกินไปเช่นกัน ฉะนั้นการยกระดับในทุกย่างก้าวของเขาจึงยากลำบากอย่างยิ่ง
โดยส่วนใหญ่แล้วเซียนชั้นฟ้าช่วงกลางคนอื่น ๆ แค่ใช้โอสถเซียนขั้นฟ้าสิบเม็ดก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่เซียนชั้นฟ้าช่วงปลายได้อย่างราบรื่นแล้ว แต่สำหรับหลัวซิว ต่อให้มีโอเซียนขั้นฟ้าหนึ่งพันเม็ด ก็อย่าคิดว่าจะเลื่อนระดับสำเร็จ
“หากข้าต้องการบรรลุสู่เซียนชั้นฟ้าช่วงปลาย แค่อาศัยโอสถเซียนขั้นฟ้ายังไม่เพียงพอ ยังจำเป็นต้องใช้โอสถเซียนระดับราชาด้วย”
หลัวซิวทำการคาดคะเนโดยคร่าว ๆ รอบหนึ่ง แม้ในมือเขาจะมีราชาสมุนไพรอยู่ไม่น้อย แต่ราชาสมุนไพรและโอสถเซียนกลับแตกต่างกัน
เมื่อกลั่นราชาสมุนไพรให้กลายเป็นเม็ดโอสถเซียน ประสิทธิผลดั้งเดิมของราชาสมุนไพรก็จะเพิ่มขึ้นสิบเท่า
หากต้องการกลั่นเม็ดโอสถเซียนระดับราชา เช่นนั้นเขาก็ต้องทำให้อัคคีชาตะไร้ลักษณ์ของตัวเองเลื่อนขั้นก่อน รองลงมาคือจำเป็นต้องมีเตายาที่เป็นภัณฑ์เซียนผู้ชนะ
……
ออกจากสถานเบญจธาตุ หลัวซิวเริ่มเตรียมตัวลงมือกลั่นโอสถเซียนระดับราชาแล้ว
ครั้นอยู่ในภูเขาเพลิงอัคคี เขาได้รับวัตถุดิบธาตุไฟจำนวนไม่น้อยมาจากมือมารเพลิง ซึ่งในจำนวนทั้งหมดยังไม่ขาดแคลนสมบัติที่สามารถทำให้เซียนอัคคีเลื่อนขั้นได้ด้วย
ขอแค่สามารถทำให้เซียนอัคคีเลื่อนขั้น เช่นนั้นเตายาที่เป็นภัณฑ์เซียนระดับผู้ชนะก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะตัวหลัวซิวสามารถกลั่นได้ด้วยตนเอง
หากต้องการย้อนกลับไปยังโลกามนุษย์ ก็จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ค่ายกลฝั่งสะพานทะยานเซียนถูกทำลายไปแล้ว ทว่าเดิมทีระดับขั้นของค่ายกลฝั่งสะพานทะยานเซียนก็ไม่ค่อยสูงอยู่แล้ว ฉะนั้นหลัวซิวจึงมั่นใจว่าตนสามารถจัดวางขึ้นมาใหม่ได้
ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่ถือว่าไม่ค่อยไกลจากสถานเบญจธาตุเท่าไหร่นัก หลัวซิวมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่มีนามว่าเมืองโหวหรง
“ได้ยินหรือยัง? เทพธิดาแห่งชนเผ่าดึกดำบรรพ์กำลังจะมาถึงเมืองโหวหรงของเราแล้ว”
“จริงหรือ? เล่ากันว่าสตรีทุกนางในชนเผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์ล้วนงดงามปานเทพธิดา”
“ก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ ได้ยินว่าเหมือนเจอเห็นสลักหายากในสถานเบญจธาตุ”
“......”
เมื่อเดินเข้าไปในเมือง หลัวซิวก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นทำนองนี้เยอะมาก พอพูดถึงชนเผ่าดึกดำบรรพ์ เขาก็อดนึกถึงท่านแม่และเมี่ยวหลิงไม่ได้
ในส่วนของหินสลักหายากที่กล่าวถึงนั้น ก็เป็นสิ่งที่นิยมแพร่หลายในช่วงเวลาหนึ่งในโลกเซียนเช่นกัน ลือกันว่าหินสลักประเภทนี้คือร่องรอยธรรมเวชที่ตกทอดมาจากยุคสมัยที่เก่าแก่อย่างยิ่ง ซึ่งมีวรยุทธ์และพลังอมตะลึกลับแฝงซ่อนอยู่
อาทิเช่นบางแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีการเปิดหอเรือนที่เป็นทำนองเดียวกันเช่นกัน ภายในหอเรือนจะมีหินสลักประเภทนี้จัดวางอยู่เป็นจำนวนมาก หากมีคนสามารถตระหนักวรยุทธ์และพลังอมตะที่แฝงอยู่ในหินสลัก แดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำการซื้อมาในราคาที่สูงลิ่ว
สถานเบญจธาตุคือโบราณสถานที่จักรพรรดิเซียนทั้งห้าแห่งยุคโบราณกัลปาวสานทิ้งไว้ หินสลักประเภทนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หายากอยู่แล้ว เมื่อก่อนหลัวซิวเคยเจอเยอะมาก ทว่าเขา ณ ขณะนั้นก็ไม่ได้นำมาใส่ใจเช่นกัน
แต่เมื่ออยู่ในโลกเซียน การที่จะสามารถตระหนักวรยุทธ์พลังอมตะจากหินสลักหายากได้หรือไม่นั้น กลับถูกกำหนดเป็นมาตรฐานในการวัดอัจฉริยะ เนื่องจากหากสามารถตระหนักวรยุทธ์พลังอมตะได้จากหินสลัก ก็หมายความว่ามีความสามารถในการตระหนักรู้ที่น่าทึ่ง และสำหรับอัจฉริยะทุกตนแล้ว ความสามารถในการตระหนักรู้ก็ถือเป็นสติปัญญาที่สำคัญที่สุดเลย
จู่ ๆ หลัวซิวก็มองเห็นหอเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าทะยานเซียน
คำว่าทะยานเซียนมักจะทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกพิเศษเสมอ ครั้นเขาอยู่ในยุคสมัยของไท่ซ่างฉิง จี้หวูชวงก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยวิชาทะยานเซียนนี่แหละ
ภพชาตินี้ เขาที่อยู่ในโลกามนุษย์ได้พามกุฎเต๋าจำนวนมากบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียน และโลกามนุษย์เข้าสู่ยุคสมัยใหญ่ที่ใหม่เอี่ยม แล้วเขาก็ตั้งชื่อให้มันว่าสมัยทะยานเซียน
“เป็นเพียงหมาหัวเน่าตัวหนึ่งที่ไร้แวว มึงรู้หรือไม่ว่าคำพูดของมึงจะทำให้มึงได้ประสบกับหายนะที่ไม่มีเค้ามาก่อน?”
ถึงหลัวซิวจะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน เขาก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“ฮ่าฮ่า ตลกชะมัด มึงคิดว่าตัวเองเป็นกษัตริย์เซียนรึ? ภูมิภาคของเมืองโหวหรงคืออาณาบริเวณของสำนักชิงเยว่ของพวกกู”ผู้ติดตามคนดังกล่าวหัวเราะดูหมิ่น
“การที่บอกว่ามึงเป็นหมายังเป็นการดูถูกหมาเลย สำนักชิงเยว่เก่งมากเลยรึ? ก็เป็นเพียงสำนักเซียนที่มีกษัตริย์เซียนคอยคุ้มกันเท่านั้นแหละ”
หลัวซิวไม่เก็บมาใส่ใจ เขารู้สึกว่าการพูดคุยกับพวกไร้แววมันเป็นการลดทอนคุณค่าของตัวเองชัด ๆ
“มึงพูดอะไรก็ระมัดระวังหน่อย มึงอยากมีปัญหาในหอเรือนทะยานเชียงของเราหรือ?”
เหล่าองครักษ์ที่อยู่หน้าหอเรือนต่างจ้องมองมาด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร ท่าทีราวกับขอแค่หลัวซิวบังอาจปากดีอีกประโยคหนึ่ง พวกเขาก็จะลงมือทันที
“พวกตาหมามองคนต่ำ”
หลัวซิวรู้สึกโกรธแล้วจริง ๆ เขาก็แค่หยุดอยู่หน้าหอเรือนเพียงครู่เดียว คนเหล่านี้ก็มาพูดถากถางเขาอย่างไร้เหตุผล คิดว่ากูข่มเหงง่ายอย่างนั้นรึ?
เขาโบกมือครั้งหนึ่ง แสงเซียนวงกว้างจึงแย้มบานออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วกลายเป็นกรองแก้วเซียนลอยอยู่กลางท้องฟ้า
จำนวนของกรองแก้วเซียนมีเป็นล้านก้อน กรองแก้วเซียนทุกก้อนล้วนเป็นชั้นสูง และยังไม่ขาดแคลนชั้นยอดด้วย
เหล่าองครักษ์ที่อยู่หน้าหอเรือนมองดูจนเหม่อลอยไปแล้ว ผู้ที่มีคุณสมบัติใช้กรองแก้วเซียนชั้นสูงฝึกตนได้นั้น อย่างน้อยก็เป็นอัจฉริยะที่ไม่ต่ำกว่าระดับเซียนชั้นฟ้า ในส่วนของกรองแก้วเซียนชั้นยอด นั่นเป็นทรัพยากรการฝึกตนที่มีเพียงเป็นผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ใช้
หลัวซิวไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น ก่อนจะย่างเท้าเดินเข้าไปในหอเรือนทะยานเซียน เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าในหอเรือนแห่งนี้มีหินสลักอะไรกันแน่
อ้างอิงจากกฎระเบียบ หากหินสลักหายากในหอเรือนแต่ละแห่งถูกคนตระหนักวรยุทธ์พลังอมตะได้ ร่องรอยธรรมเวชที่อยู่บนหินสลักก็จะหายไป หินสลักก้อนหนึ่งก็จะหมดประโยชน์
และผู้ที่ได้รับวรยุทธ์พลังอมตะสามารถนำมันขายให้เจ้าของหอเรือน หรือจะปฏิเสธการขายก็ได้เช่นกัน
เล่ากันว่าพลังอมตะยอดเยี่ยมจำนวนไม่น้อยล้วนมาจากหินสลักหายาก อย่างไรเสียตั้งแต่โบราณกาลมา จำนวนผู้แข็งแกร่งที่อุบัติขึ้นมามีไม่มาก และใช่ว่าผู้แข็งแกร่งทุกข์ตนจะได้สืบสานพลังอมตะน่าทึ่งเสมอไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...