มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3177

ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงสวนใหญ่สุดท้ายของหอเรือนทะยานเซียน

พื้นที่ของสวนใหญ่แห่งนี้ ใหญ่กว่าบรรดาสวนใหญ่ก่อนหน้านี้ แต่จำนวนหินสลักที่วางอยู่ในสวนใหญ่กลับมีอยู่ไม่มาก มีเพียงแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น

หินสลักทุกก้อนที่นี่ ล้วนมีค่ายกลตัวต้องห้ามปิดผนึกและปกคลุมอยู่ แต่ยังคงมีออร่าท่วงเซียนที่สั่นไหวปกคลุมไปทั่วสวนใหญ่ ราวกับมีเสียงขนาดใหญ่ดังต่อเนื่องกันเป็นระลอก

หินสลักเหล่านี้มีทั้งเล็กและใหญ่ ก้อนเล็กมีขนาดเท่าฝ่ามือ ลายเส้นอัดแน่นกันอยู่ ส่วนก้อนใหญ่มีขนาดเท่าภูเขา ตั้งสูงตระหง่าน

หินสลักที่นำมาวางอยู่ที่นี่ได้ เรียกได้ว่าเป็นสลักชั้นยอดที่หอเรือนทะยานเซียนสามารถนำออกมาได้แล้ว หากต้องการสังเกตและศึกษาหินสลักก้อนใดก็ตาม ล้วนต้องจ่ายกรองแก้วเซียนชั้นสูงถึงห้าล้าน

ตอนที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ สวนใหญ่แห่งนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังสังเกตและศึกษาหินสลักหลายก้อนอยู่ ต่างฝ่ายต่างพูดคุยแลกเปลี่ยน อภิปรายร่วมกัน แต่กลับไม่มีใครยอมจ่ายกรองแก้วเซียนเพื่อไปสัมผัสรู้ลายเส้นของท่วงเซียนบนหินสลัก

หินสลักเหล่านี้ บ้างก็มีลายเต๋าหินสลักที่ชัดเจน ท่วงเซียนแจ่มชัด แต่ก็มีหินสลักบางก้อน ที่กลับดูเหมือนก้อนหินธรรมดาทั่วไป ลายเต๋าเลือนราง และไม่มีท่วงเซียน

เรียกได้ว่านี่เป็นการเสนอแนะทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง หินสลักหน้าตาธรรมดาก้อนหนึ่งที่วางอยู่ด้านหลังสุดของสวนใหญ่ คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องคิดจากประสบการณ์ที่เคยมีมาก่อนว่า หินก้อนนี้สุดยอดขข และที่มองความลับไม่ออก เป็นเพราะแดนของตนเองยังไม่เพียงพอ

แน่นอนว่า ย่อมมีผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าใจเอาเองว่าตนนั้นไม่ธรรมดา ไปทดลองสัมผัสรู้ สุดท้ายกลับไม่อาจสัมผัสรู้อะไรออกมาได้ ซ้ำยังต้องจ่ายกรองแก้วเซียนชั้นสูงไปถึงห้าล้าน

การสังเกตและศึกษาเพื่อสัมผัสรู้ในแต่ละครั้งมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ลายเต๋าของหินสลัก มีน้อยคนนักที่จะสัมผัสรู้อะไรออกมาได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม ดังนั้นส่วนใหญ่ล้วนเพิ่มเวลา และยิ่งใช้จ่ายกรองแก้วเซียนมากขึ้น

หลัวซิวเองก็กำลังสังเกตดูหินสลักเหล่านี้ หากไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขารู้สึกสนใจได้ เขาก็เลือกที่จะจากไปแล้ว

ตอนนี้เอง มีคนพูดถึงเรื่องที่นางฟ้าของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ลงมายังเมืองโหวหรงขึ้นมา

คนที่จะเข้ามาชมหินสลักในสวนใหญ่สุดท้ายนี้ได้ ปกติแล้วล้วนเป็นคนที่มีฐานะและภูมิหลัง ข่าวที่พวกเขาพูดถึง ละเอียดยิ่งกว่าสิ่งที่หลัวซิวได้ยินมาจากบนท้องถนน

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก มีเฒ่าประหลาดของชนเผ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งที่กำลังตามหาเบาะแสของเขาอยู่ ชายชราที่มีชีวิตตั้งแต่ยุคโบราณก่อนมาจนถึงยุคปัจจุบันขจ

อีกทั้งยังเคยเป็นเทพบุตรดึกดำบรรพ์ และมีผลการฝึกตนที่บรรลุถึงประมุขเซียน หรืออาจถึงขั้นแดนเซียนสูงสุด

“เหอะ ๆ หากพูดถึงหินสลัก หินสลักที่สุดยอดที่สุดล้วนอยู่ในเมืองห้าจักรพรรดิ

“คำพูดนี้ถูกต้อง อย่างไรเสียเมืองโหวหรงแห่งนี้ก็เป็นสถานที่เล็ก ๆ หินสลักที่หาเจอจากโบราณสถานต่างมีระดับที่ไม่สูง”

“แต่เมืองห้าจักรพรรดิไม่เหมือนกัน แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ในภูมิภาคสิบลี้ของโลกเซียน ล้วนส่งหินสลักชั้นยอดที่หาเจอไปที่เมืองห้าจักรพรรดิ นั่นเป็นสถานที่ที่รวบรวมหินสลักจำนวนนับไม่ถ้วนของทั่วทั้งโลกเซียน”

“แดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่โง่ หากเป็นหินสลักที่สามารถสัมผัสรู้วรยุทธ์พลังอมตะออกมาได้ พวกเขาย่อมเก็บเอาไว้เองนานแล้ว ทำไมจะต้องนำออกมาให้คนอื่นบรรลุด้วย ?”

“......”

หลังซิวได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มมากขึ้น แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของเมืองห้าจักรพรรดิ

แม้เขาจะมาถึงโลกเซียนนานแล้ว แต่ทว่า กลับได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ไม่มากนัก จึงเข้าใจสถานการณ์หลายอย่างของโลกเซียนน้อยมาก

แต่ว่า เมื่อเขาได้ยินชื่อของเมืองห้าจักรพรรดิ ก็นึกไปถึงจักรพรรดิเซียนทั้งห้าของยุคโบราณกัลปาวสาน แดนศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุเรียกได้ว่าเป็นการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของจักรพรรดิเซียนทั้งห้า บางทีอาจเป็นเพราะรู้คำพูดบางอย่างเกี่ยวกับจักรพรรดิเซียนมา ดังนั้นจึงมีสิ่งที่ใช้รำลึกถึงอย่างเมืองห้าจักรพรรดิ

อสูรกิเลนแห่งแดนเบญจธาตุเคยพูดว่า หากพบลูกหลานของห้าจักรพรรดิ หวังว่าหลัวซิวจะช่วยดูแลสักหน่อย

เช่นนี้ก็หมายความว่า ในจักรวาลฟ้าดินของคนรุ่นหลัง ห้าจักรพรรดิเองก็มีลูกหลายสายตรงที่ได้รับการสืบทอดลงมา แม้จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลของยุคโบราณกาลจะถูกทำลายจนแตกละเอียด ลูกหลานของห้าจักรพรรดิก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกเซียนแห่งนี้

แต่เป็นเพราะยุคสมัยห่างไกลเกินไป คนในยุคนี้อย่างมากก็รู้จักแค่ยุคบรรพกาล แต่แทบจะไม่มีใครรู้ว่ายังมียุคโบราณกัลปาวสานที่โบราณยิ่งกว่านั้นอีก

ความคิดที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นในใจ หลัวซิวถอนหายใจเบา ๆ แต่ในตอนนี้เอง สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ร่างกายของเขาหยุดลงญท แววตาจ้องมองใบที่หินสลักก้อนหนึ่ง

หินสลักก้อนนี้สูงสองจ้าง ราวกับกำแพงหินหนึ่งด้าน บนกำแพงหิน ลายเส้นไม่ชัดเจนนัก และไม่มีท่วงเซียนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่น่าแปลกก็คือ ลายเส้นเหล่านี้ตัดกันทั้งแนวตั้งและแนวนอน และเกิดเป็นภาพขึ้นมาหนึ่งภาพ

เมื่อเพ่งมอง ลายเส้นบนกำแพงหินเหมือนเป็นภาพแผ่นหลัง เจ้าของแผ่นหลังนี้ยืนอยู่บนยอดเขา มีพระจันทร์ลอยเด่น ราวกับกำลังจะเหาะขึ้นไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ