แม้ที่นี่จะเป็นภูมิภาคเบญจธาตุ แต่การที่เทพบุตรและเทพธิดานิกายฟ้าของสามยอดแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงที่นี่ สำหรับคนจำนวนมากแล้ว ก็นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สูงส่งอยู่ดี
ฝูงชนต่างค่อย ๆ หลีกทาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หลัวซิวเองก็ทำตามฝูงชน หลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง
“เอ้าจ้านเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าหรือไม่ ?”
ฉือเฟยหลงเดินนำขึ้นไปก่อน เขาจ้ำอ้าวเข้าไปในหอเรือนไท่ฉือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความมั่นใจ ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกถึงความกล้าหาญและใจกว้างของเขา
ฉือเฟยหลงเป็ยบุคคลแรกในบรรดาคนหนุ่มสาวของภูมิภาคสามยอด ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มังกรในหมู่มนุษย์เป็นคำจำกัดความสำหรับคนอย่างเขา ในทุก ๆ การเคลื่อนไหวล้วนมองเห็นถึงความสำเร็จ ราวกับหงส์ที่อยู่ในฝูงไก่ ต่างกันคนละโลก
เทพธิดานิกายฟ้าเดินตามหลังอย่างเงียบ ๆ นางมีความงดงามที่ทำให้คนแทบหยุดหายใจ ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนฝึกวรยุทธ์เพื่อคงความสวยงาม ตอนนี้เทพธิดานิกายฟ้าเป็นเหมือนพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภา ตอนที่เดินผ่านฝูงชน ทำให้ผู้คนรู้สึกละอายใจในตนเองได้ และอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าใช้สายตาดูหมิ่นความงดงามราวเทพธิดาของนาง
“ฉือเฟยหลง เจ้ารนหาที่ตาย !”
เสียงดังราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นก็มีร่างสีดำเหาะลงมาจากอากาศ ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างแตะพื้น แผ่นดินก็สั่นสะเทือน ราวกับหอเรือนไท่ฉือจะถล่มลงมา
นี่คือชายหนุ่มรูปร่างกำยำ มีความสูงราวหนึ่งจ้าง บนศีรษะมีเขามังกรสองข้าง ดวงตาเป็นสีทอง รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยออร่าอันป่าเถื่อน
เขาก็คือเอ้าจ้านเทียน เป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นในเผ่ามังกรเซียน เป็นคู่ปรับตัวฉกาจกับฉือเฟยหลง
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอ้าจ้านเทียนฝึกตนอยู่ด้านนอก และพบกับฉือเฟยหลงเข้าโดยบังเอิญ ในชื่อของฉือเฟยหลงมีคำว่ามังกร (หลง) อยู่ ทำให้เอ้าจ้านเทียนรู้สึกว่าละเมิดข้อห้ามของเผ่ามังกรเซียน
และในชื่อของเอ้าจ้านเทียนมีคำว่าฟ้า (เทียน) อยู่ ทำให้ฉือเฟยหลงรู้สึกว่าละเมิดข้อห้ามของนิกายฟ้าของพวกเขา
พูดไปแล้วก็น่าขำ ทั้งสองคนไม่ถูกชะตากันเพราะเรื่องเล็กเช่นนี้ จากนั้นก็ลงมือต่อสู้กัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขอเพียงทั้งสองคนพบหน้ากัน จะต้องลงไม่ลงมือกันในทันที ทุกครั้งล้วนต่อสู้กันอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ทั่วทั้งโลกเซียน มีเพียงมังกรเซียนที่ใช้แซ่เอ้า ส่วนผู้ที่สามารถใช้แซ่หลง (มังกร) ได้นั้น หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนประมุขเซียน ก็ต้องเป็นคนในเผ่าที่มีสายเลือดอันยิ่งใหญ่ของบรรพมังกร
“เหอะ ๆ ใบหน้าของโหรวเอ๋อร์งดงามขึ้นอีกแล้ว เมื่อไหร่จะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของข้าสักที ?”
ทันใดนั้นเอง สายตาของเอ้าจ้านเทียนก็มองข้ามฉือเฟยหลง และจับจ้องไปยังเทพธิดานิกายฟ้าด้วยแววตาที่เป็นประกาย
แซ่ฉือเป็นเชื่อสายของเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิกายฟ้าสามยอดแดนศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดานิกายฟ้ามีบุตรธิดาหนึ่งคู่ ซึ่งก็คือเทพบุตรและเทพธิดานิกายฟ้าในปัจจุบัน ฉือเฟยหลงและฉือเสี่ยวโหรว
“เอ้าจ้านเทียน หากเจ้ากล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า” เสียงของเทพธิดานิกายฟ้าเย็นชา เสนาะสวรรค์
แววตาคู่งามแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า หากไม่เห็นแก่วาระโอกาส นางคงลงมือไปนานแล้ว
จ้านเทียนเบะปากอย่างไม่แยแส “เสี่ยวโหรว เจ้าจะสังหารสามีของตนเองได้อย่างไรขข ? หากเจ้าสังหารข้าแล้ว ไม่เท่ากับต้องเป็นหม้ายหรอกหรือขจ ?”
“พอได้แล้ว !”
จู่ ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากส่วนลึกของหอเรือนไท่ฉือ เสียงนั้นบ่งบอกถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
ขอเพียงเป็นคนที่รู้จักหอเรือนไท่ฉือ ต่างก็รู้ดีว่า คนที่เอ่ยปากพูดอยู่ตอนนี้ ก็คือท่านผู้ใหญ่คนของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ผู้ทำหน้าที่ดูแลที่นี่อย่างแน่นอน
ชนเผ่าดึกดำบรรพ์และมังกรเซียนมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด ได้ยินมาว่ามารดาของเอ้าจ้านเทียน คือหญิงสาวผู้พิชิตทั่วหล้าของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ในอดีต แม้จะไม่ใช่เทพธิดาที่มีความสามารถและคุณสมบัติที่เป็นเลิศ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าเทพธิดาในยุคนั้น
หอเรือนหลังนี้ เป็นกิจการของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ เอ้าจ้านเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อ ฉือเฟยหลงกับฉือเสี่ยวโหรวเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อเช่นกัน อย่างไรเสียก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าท่านผู้ใหญ่ของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ได้
“พวกท่านมาเยี่ยมเยียน เมี่ยวหลิงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่ง”
ตอนนี้เอง เทพธิดาเมี่ยวหลิงของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ก็ปรากฏตัวขึ้น นางสวมชุดคลุมสีขาว แสงเซียนจำนวนมากห้อมล้อมไปทั่วทั้งตัว ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้น เทพธิดานิกายฟ้าที่เดิมทีทำให้ผู้คนต้องรู้สึกตกตะลึง ก็ดูไร้สีสันราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาในทันที
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่งดงามแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเมี่ยวหลิงล้วนดูหมองหม่นไร้สีสัน เพราะนางเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบ ราวกับหญิงสาวที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ต่อให้เป็นคนที่ช่างเลือกขนาดไหน ก็ไม่อาจหาข้อบกพร่องบนตัวของนางได้เลย
“คารวะศิษย์พี่หญิงเมี่ยวหลิง”
ฉือเฟยหลงและฉือเสี่ยวโหรวยกมือขึ้นคารวะ ในฐานะที่เป็นเทพบุตรเทพธิดาของแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันญท มีฐานะที่เท่าเทียมกัน แต่เมี่ยวหลินเป็นเทพธิดาก่อน เมื่อดูจากลำดับความอาวุโสแล้ว พวกเขาจึงต้องเรียกว่าศิษย์พี่หญิง
“ทั้งสองท่านเกรงใจแล้ว เชิญเข้ามา”
หลัวซิวอยากบรรลุสักครั้ง อย่าคิดว่าหินสลักก้อนนี้ดูธรรมดา มีเพียงแค่ลายเส้นสี่เส้นที่ดูไม่สะดุดตา แต่สัญชาตญาณของหลัวซิวกลับคิดว่า วรยุทธ์พลังอมตะที่อยู่บนหินก้อนนี้ อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับมกุฎเซียนคลุมโลกา
อะไรคือมกุฎเซียนคลุมโลกา ? นั่นคือสามารถต้านทานการมีอยู่ของจักรพรรดิเซียนธรรมดาได้แล้ว
เหมือนกับไท่ซ่างอวี้บิดาของเขา หรือผู้อาวุโสชนเผ่าไท่ซ่างที่ฝึกเซ่นดาบหักเซียนผู้นั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับนี้
ระดับจักรพรรดิเซียนขึ้นไป ต่อให้เป็นมกุฏเซียนที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับการสรรเสริญให้เป็น “เลิศล้ำ”
ดังนั้นมกุฎเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือมกุฎเซียนคลุมโลกาแล้ว รองลงมายังมีมกุฎเซียนขั้นสุดยอด มกุฎเซียนขั้นชั้นหนึ่ง มกุฎเซียนธรรมดา
อย่างเช่นเซียนสูงสุดก็มีการแบ่งแยกประเภท ปกติแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงก้าวเข้าสู่แดนเซียนสูงสุด อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นชั้นหนึ่ง หากแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็อยู่ในขั้นสุดยอด
แต่ถึงแม้จะฝึกวรยุทธ์พลังอมตะระดับจักรพรรดิเซียน หากพรสวรรค์ของตนเองยังไม่เพียงพอ ก็ไม่อาจเข้าสู่ลำดับเซียนสูงสุดสุดหล้าได้
ทว่า ตั้งแต่ในอดีต โชคส่วนบุคคลมีความสำคัญยิ่งกว่า มีบางคนใช้เซียนสูงสุดสุดหล้า ก้าวเข้าสู่มกุฎเซียนคลุมโลกา แต่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังไม่อาจก้าวเข้าสู่แดนจักรพรรดิเซียนได้อยู่ดี
แต่มีบางคน ที่เดินไปบนวิถีเซียนอย่างช้า ๆ แต่กลับก้าวเดินอย่างมั่นคง และกลายเป็นเซียนสูงสุด แต่ก็เป็นเพียงแค่ขั้นชั้นหนึ่งกลายเป็นมกุฎเซียนเท่านั้น แต่ไม่อาจกลายเป็นขั้นสุดยอดได้
แต่ถึงแม้จะก้าวเข้าสู่ระดับมกุฎเซียนคลุมโลกาไม่ได้ หากมีโอกาสเปลี่ยนแปลง บางทีอาจก้าวกระโดดดฌ กลายเป็นจักรพรรดิเซียนเสียแล้ว
ความคิดต่าง ๆ ปรากฏขึ้นในสมอง หลัวซิวรู้สึกว่าเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอในช่วงนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ถึงขนาดที่เขาเคยคิดว่าเรื่องพวกนี้สำหรับเขาแล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ไกลตัวเกินไป
“อย่าว่าแต่มกุฎเซียน แม้แต่แดนเซียนสูงสุด สำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลนัก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าก็คือ ก้าวเข้าสู่เซียนชั้นฟ้าช่วงปลายเสียก่อน ถึงจะเป็นเรื่องหลัก”
ถอนหายใจเบา ๆ หลัวซิวส่ายหัว เขาอยากสัมผัสรู้หินสลักที่นี่เป็นอย่างยิ่ง หินสลักทั้งเจ็ดก้อนที่นี่ ทุกก้อนล้วนไม่ด้อยไปกว่าภาพทะยานเซียนเลย
น่าเสียดายที่เขาจำต้องละทิ้งความคิดนี้ ทันทีที่เขาสัมผัสรู้ของที่อยู่บนหินสลัก ก็จะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ จับตาดูทันที
หอเรือนไท่ฉือแห่งนี้ มีท่านผู้ใหญ่ของชนเผ่าดึกดำบรรพ์คอยดูแลอยู่ ต่อให้เขาจะจากไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยวิธีไร้ลักษณ์ไร้รูป ก็นับว่ายากมากแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...