มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3180

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลัวซิวรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หินสลักสุดหล้าอยู่ด้านหน้า แต่กลับไม่อาจสังเกตและศึกษาสัมผัสรู้ นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ

แม้ว่าเขาจะเดินบนวิถีที่สร้างวรยุทธ์หลังอมตะของตนเอง เหมือนกับจักรพรรดิเซียนสมัยก่อนนานแล้ว แต่ไร้ลักษณ์ที่เขาฝึกฝน เดิมทีได้รับจุดแข็งมาจากหลายร้อยสำนัก หากได้รับวรยุทธ์พลังอมตะผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเซียนอื่น ๆ บางทีอาจได้รับแรงบันดาลใจ และทำให้ตนเองก้าวไปได้ไกลขึ้นอีกขั้น

หลัวซิวส่ายหัว สุดท้ายก็ยังไม่ได้ไปพบเมี่ยวหลิง เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนในเวลาเช่นนี้ ยากนักที่เซียนสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จะปรากฏตัวขึ้นบนโลก ปกติแล้วการมีอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกก็คือประมุขเซียน มีเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของแดนใหญ่ต่าง ๆ อยู่ในระดับสูงสุด

หลัวซิวรู้สึกว่า หากเขาต้องการเดินอยู่บนโลกนี้ในฐานะไท่ซ่างฉิง อยากน้อยก็ต้องมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่ต้านทานประมุขเซียนได้

เขาเดินอยู่ท่านกลางฝูงชนอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็แกไปจากหอเรือนไท่ฉือ เขาอยากบรรลุถึงเซียนชั้นฟ้าขั้นปลายให้ได้โดยเร็ว จากนั้นก็บรรลุถึงเซียนชั้นฟ้าขั้นสูง ก้าวผ่านสามแดนเซียน ทะยานสู่แดนแรกของมหาเซียน ราชาเซียน !

แน่นอนว่าการฝึกตนนั้นสำคัญ แต่การเดินทางของหลัวซิวในครั้งนี้ ยังคงเป็นสถานกระดูกฝัง

หลังจากไปจากเมืองโหวหรงแล้ว หลัวซิวกลับขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด เพราะเขารู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามเขา

นี่ทำให้เขาเกิดความสับสนขึ้นมาทันที ฐานะที่เขาใช้ในหอเรือนทะยานเซียนกับหอเรือนไท่ฉือนั้นแตกต่างกัน หน้าตาและออร่าก็แตกต่างกัน อีกทั้ง ตอนที่เขาอยู่ในหอเรือนไท่ฉือก็ไม่มีการเคลื่อนไหวที่พิเศษ จะถูกคนจับตาดูได้อย่างไร ?

หากถูกบุคคลสำคัญของหอเรือนไท่ฉือค้นพบบุคคลสำคัญที่แท้จริง เช่นนั้นอีกฝ่ายคงลงมือนานแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสออกจากเมืองได้

ความสับสนนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง เขาแปลงร่างเป็นแสงกลเหาะไป สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่เหนือป่าที่ไร้ผู้คน

ที่นี่ไม่มีใคร ในรัศมีแสนลี้ล้วนเป็นป่า รกร้างไร้ผู้คน

เมื่อเห็นหลัวซิวที่อยู่ด้านหน้าหยุดลง บรรดาคนที่สะกดรอยตามมาทางด้านหลังก็ปรากฏตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่หลบซ่อนตัวอีกต่อไป

“สำนักชิงเยว่ ?”

เมื่อเห็นเฉินเซี๋ยงที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ หลัวซิวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

“เจ้าละโมบเกินไปแล้ว ถึงแม้จะชนะเดิมพันข้าได้ ก็ไม่ควรเอาภัณฑ์เซียนผู้ชนะของข้าไป” เฉินเซี๋ยงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรนัก

“อ้อ ? พูดเช่นนี้หมายความว่า ข้าถูกพวกเจ้าสะกดรอยตามเพราะภัณฑ์เซียนผู้ชนะเช่นนั้นหรือ ?”

หลัวซิวพลิกฝ่ามือ กระบี่เซียนที่เฉินเซี๋ยงนำมาก็ถูกเขาถืออยู่ในมือ ตัวสำนึกแนบอยู่ด้านบน ตรวจสอบดูอย่างละเอียด

ในตอนแรกที่ได้กระบี่นี้มา เขาก็โยนเข้าไปในแหวนเก็บของ ไม่ได้สนใจอะไรสักนิด

ทว่า ใจคนยากจะคาดเดา เขาคิดว่าเฉินเซี๋ยงยอมแพ้จากใจจริง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เสแสร้งออกมาเท่านั้น ใช้ภัณฑ์เซียนผู้ชนะเป็นเครื่องหมาย สะกดรอยตามเขา

ตัวสำนึกของหลัวซิวแข็งแกร่งมาก แม้เขาจะเป็นเพียงเซียนชั้นฟ้าขั้นกลาง แต่ตัวสำนึกกลับเหนือกว่าราชาเซียนธรรมดานานแล้ว ไม่ช้าก็หาเครื่องหมายที่แอบซ่อนอยู่ในกระบี่เซียนเจอ

“ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ”

ชายชราคนหนึ่งก้าวขึ้นมา เป็นผู้อาวุโสที่เฉินเซี๋ยงเชิญมาจากสำนักชิงเยว่ บนร่างกายมีออร่าของผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนพรั่งพรูออกมา

แววตาของชายชราเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า จ้องหลัวซิวตาเขม็ง แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ส่งแหวนเก็บของของเจ้าออกมา จากนั้นก็นำม้วนหยกวรยุทธ์พลังอมตะที่สัมผัสได้จากหอเรือนทะยานเซียนออกมา แล้ววันนี้จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”

“เหอะ ๆ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าหรือ ?” หลัวซิวแสยะยิ้มออกมาจาง ๆ “หากข้าทำตามที่เจ้าพูดจริง ๆ เจ้าคงจะฆ่าข้าปิดปากทันทีสินะ ?”

“พ่อหนุ่ม เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง หากไม่ทำตามที่ข้าบอกละก็ วินาทีถัดไป ก็จะถึงคราวตายของเจ้า” ชายชราของสำนักชิงเยว่แสดงความดุร้ายออกมาทางสายตา

“เจ้ามั่นใจไม่เบานี่ หากบรรพอาจารย์กษัตริย์เซียนของสำนักชิงเยว่ของพวกเจ้าผู้นั้นมา บางทีข้าอาจจะกลัวสักหน่อย แต่หากมีแค่ไอ้แก่ระดับราชาเซียนอย่างเจ้าแค่คนเดียว ยังไม่พอหรอก” หลัวซิวพูดดูถูก

“ปากดีจริง ๆ !”

ยังมีศิษย์ของสำนักชิงเยว่อีกเจ็ดแปดคนที่มาพร้อมเฉินเซี๋ยง แต่ละคนล้วนมีผลการฝึกตนในระดับเซียนชั้นฟ้า ตอนนี้ต่างเริ่มลงมือ

“ก็แค่ฝูงมดเท่านั้น”

หลัวซิวเดินตรงไปด้านหน้า ไม่เห็นว่าเขามีการเคลื่อนไหวใด ๆ พลังงานอันมหาศาลก็พรั่งพรูออกมา กลายเป็นอาณาจักรปราบบรรดาศิษย์เซียนชั้นฟ้าที่พุ่งตรงเข้ามาในทันที

“ปัง ! ปัง ! ปัง !......”

ละอองเลือดบานสะพรั่งอยู่ในอากาศ ฝ่ายตรงข้ามที่มีผลการฝึกตนในระดับเซียนชั้นฟ้าธรรมดา ๆ เช่นนี้ หลัวซิวไม่จำเป็นต้องลงมือสักนิด แค่อาศัยพลังที่เปลี่ยนแปลงมาจากกฎเกณฑ์ ก็สามารถทับพวกเขาให้ตายคาที่ได้

“เจ้า......”

เปลวไฟอันน่ากลัวพุ่งออกมาจากร่างกายของหลัวซิว ร่องรอยทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ถูกทำลาย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งสุดหล้ามาเอง ก็อย่าคิดจะหาเบาะแสในการติดตามตัวเขาเจอแม้แต่น้อย

วินาทีต่อมา หลัวซิวแปลงกายเป็นแสงกลแล้วเหาะออกไปไกล เข็มทิศวัฏสงสารปรากฏขึ้นใต้เท้า ไม่ช้าก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศวัฏสงสาร ทะลุผ่านอนัตตา เขาหยิบวัสดุต่าง ๆ ที่ได้จากเบญจธาตุออกมา เตรียมยกระดับเซียนอัคคีชาตะ เข้าสู่ระดับราชาเซียน

ไฟที่ราชาเซียนชั้นฟ้าทั่วไปไม่อาจควบคุมได้ แต่สำหรับหลัวซิวแล้วกลับง่ายดายอย่างยิ่ง เปลือกนอกของเขาเป็นสมบัติกษัตริย์เซียนที่สมบูรณ์แบบ แต่ให้ยกระดับเซียนอัคคีขึ้นเป็นระดับกษัตริย์เซียน เอาเองก็ยังคงรับไหว

ขั้นต่อไป หลัวซิวกลั่นเตายาขึ้นมาใหม่ ใช้อัคคีของราชาเซียนหลอมละลายศิลาแร่เหล็กเซียนระดับสูง จารึกพลังเกณฑ์ธรรมเวช ฝึกเซ่นเตายาภัณฑ์เซียนผู้ชนะออกมาหนึ่งใบ

แต่ไหนแต่ไร เขาเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถในการกลั่นโอสถเซียนระดับราชา กลายเป็นอาจารย์โอสถเซียนผู้หนึ่ง

อาจารย์โอสถเซียนทุกคนล้วนอยู่ในฐานะที่ได้รับการนับถืออย่างยิ่งในโลกเซียน เพราะอาจารย์โอสถเซียนสามารถกลั่นโอสถเซียนระดับราชาขึ้นไปให้กลายเป็นยาให้คนตรัสรู้ได้

หลังจากระดับราชาเซียน การยกระดับผลการฝึกตนไม่ได้มาจากการสะสมพลังในการกลั่นเป็นหลักแล้ว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การสัมผัสรู้เกณฑ์ธรรมเวช

ดังนั้น โอสถเซียนระดับราชาจึงล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนจำนวนมาก สามารถคว้าราชาสมุนไพรมาครองได้ แต่กลับยากที่จะหายาเม็ดเดียว อาจารย์โอสถเซียนเหล่านั้นนิสัยแปลกประหลาด หากต้องการให้พวกเขากลั่นยาออกมาสักเม็ดหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย

หลายปีมานี้ พายุสงบลงแล้ว หลัวซิวเดินทางข้ามเขตแดนภูมิภาคอย่างรวดเร็ว และมาถึงใจกลางของภูมิภาคสามยอด

ความห่างกันระหว่างโลกเซียนกับโลกามนุษย์ ราวกับไม่ได้อยู่ในพื้นที่และเวลาเดียวกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว หลัวซิวก็รู้สึกเป็นห่วงโรว่เอ๋อร์และยู่เอ๋อร์ที่อยู่ในโลกามนุษย์เป็นอย่างยิ่ง

แม้ผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถวางรากฐานอยู่ในโลกเซียนได้ แต่ถึงแม้จะพาพวกของโรว่เอ๋อร์ไปโลกเซียน แต่ก็ถึงเวลาที่คสรจะกลับไปดูแล้ว

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็นึกถึงคนคนหนึ่งนั่นก็คือเฉว่โยวหวูจี๋

เขามาถึงโลกฌวียนหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉว่โยวหวูจี๋เลย ตั้งแต่ที่เขาไปจากสถานกระดูกฝัง ก็เหมือนว่าเขาหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

ด้วยความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของเฉว่โยวหวูจี๋ ในโลกเซียนนั้นไม่มีค่าพอให้พูดถึง การฝึกตนระดับเขา ไม่รู้ว่าในแต่ละวันล้มตายไปมากน้อยเท่าไร

แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่า เฉว่โยวหวูจี๋ไม่ได้ถูกกำจัดได้ง่ายดายขนาดนั้น......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ