หากจะว่ากันตามเหตุผล แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 หากอาศัยเพียงชุนเชียนซาง ซึ่งมีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ไม่มีทางที่จะทำให้สั่นคลอนได้ แต่ค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้นี้ มีรูปแบบที่ต่ำกว่าแนวค่ายกลคุ้มเขาที่แท้จริงเล็กน้อย
นอกจากนี้แล้ว ค่ายกลยังทำงานด้วยตัวเองโดยไร้ผู้ควบคุม จึงทำให้อ่อนกำลังลงมาระดับหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อซุนเชียนซางออกแรงโจมตีอย่างสุดกำลัง ม่านแสงของค่ายกลจึงสั่นไหวอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ อ่อนกำลังลงราวกับว่ากำลังจะถูกทำลาย ติดอยู่เพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น
“แบบนี้ไม่ดีแน่......” อารมณ์ของสวีจิงเหนียนในตอนนี้ รู้สึกร้อนรนราวกับถูกไฟเผา
เมื่อไรที่ค่ายกลถูกทำลาย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก็จะเป็นเหมือนลูกแกะตัวน้อย ๆ ที่รอการถูกสังหารอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ผู้นั้น โดยไม่มีแม้กระทั่งแรงจะต่อต้าน
......
ในแดนปริศนา ภายในหอคอยฝึกตนจงยางชั้นที่ 9 หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ค่ายกลที่เขาตั้งเอาไว้ เชื่อมโยงกับจิตใจของเขา เมื่อค่ายกลคุ้มเขาด้านนอกถูกโจมตี เขาจึงย่อมที่จะรู้สึกได้
ถึงแม้จะปิดขังฝึกตนได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่หลัวซิวได้รับถือว่าไม่น้อย โดยเฉพาะสำนึกพลังวิญญาณ ที่คอยดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่ภายในช่องจิตอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 อีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุถึงระดับที่มีสำนึกทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ได้แล้ว
นอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยพลังจิตแท้ และความเข้าใจเกี่ยวกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สาม ก็เกิดการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ผลการฝึกตนของเขาเองก็พัฒนาตามมาด้วยเช่นกัน จึงบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 5 แล้ว
“รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมาหาเรื่องแน่” หลัวซิวแสยะยิ้ม
……
ม่านแสงของค่ายกลค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนเสียรูป ผู้ที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างสวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์ ต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมา
ผู้ร้ายเป็นถึงระดับมกุฎยุทธ์ ส่วนมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านที่หลัวซิวเชิญมาจากสมาคมเป่ยเซี๋ยในตอนนั้น ได้จากไปนานแล้ว
ครั้งแรกที่สำนักไท่เสวียนสร้างขึ้น ยังไม่ได้เปิดสำนักเขาอย่างเป็นทางการ ก็มีศัตรูเข้ามาโจมตีเสียก่อน คนเหล่านี้ไม่มีสติที่จะคิดป้องกันได้เลย เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ทันใดนั้น ค่ายกลคุ้มเขาที่ถูกพลังการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ค่อย ๆ พุ่งเข้าใส่จนอ่อนกำลัง จู่ ๆ กลับเพิ่มพลังขึ้นทันที
สวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์หันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงทางเข้าแดนปริศนา สวมใส่ชุดคลุมยาวดำ มีสีหน้าที่เคร่งขรึม ซึ่งก็คือหลัวซิวนั่นเอง
การปรากฏตัวของหลัวซิว ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกเหมือนมีเสาหลักขึ้นมาทันที ความรู้สึกวิตกกังวลก็ดูจะผ่อนคลายลง
“ไสหัวไป !”
มีเสียงตะโกนดังขึ้น หลัวซิวยกมือขึ้นบีบพลังตราประทับของค่ายกล ทำให้กระแสของแนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา
ทุกคนต่างได้ยินเสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่โหมกระหน่ำและปะทุขึ้น ซุนเชียนซ่าง ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ยืนอยู่เหนือท้องฟ้าด้านนอกค่ายกลผู้นั้น ได้ถอยร่นกลางอากาศไปหลายก้าว
“เป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งจริง ๆ ไม่มีผู้ควบคุมแท้ ๆ แต่กลับสามารถต้านทานการโจมตีจากร่างทองฝ่าเซียงของข้าได้หลายครั้ง หลังจากหลัวซิวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น พลังที่ใช้ควบคุมค่ายกล เป็นเพียงแค่กระแสธรรมดา ๆ จริงหรือ ?”
ซุนเชียนซางหันมองหลัวซิวที่อยู่ท่ามกลางม่านแสงของค่ายกลด้วยความตกใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มควบคุมร่างทองฝ่าเซียงอีกครั้ง เขากระแทกฝ่ามือลงไปยังม่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง
พลังจิตแท้ที่ยิ่งใหญ่แปรปรวน และแผ่ขยายไปในท้องฟ้า
“ฝ่ามือใต้หล้า !”
ครั้งนี้ซุนเชียนซางไม่เพียงใช้แค่ร่างทองฝ่าเซียงเท่านั้น แต่ยังสำแดงวิชาหมัดอันทรงพลังออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นทักษะยุทธ์ระดับ 9
“โล่ !”
หลัวซิวยังมีสีหน้าสงบนิ่ง ตราประทับในมือของเขาเปลี่ยนไป จู่ ๆ ม่านแสงของค่ายกลที่แปรปรวนก็ควบรวมกันอย่างกะทันหัน กลายเป็นกำแพงโลหะที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีลงมาบนม่านแสงของค่ายกล เหมือนกับการตีระฆังขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น
คลื่นเสียงแผ่วงกว้างออกไป จนทำให้ภูเขาที่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตรราบเป็นหน้ากลอง เห็นให้เห็นถึงความน่ากลัวอย่างที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...