“พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งที่เจิงคุนฝึกนั้นมีแรงป้องกันสูงมาก ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านหนึ่งหมัดของหลัวซิวได้เช่นนั้นรือ?”
“ไม่ใช่ว่าเจิงคุนนั้นอ่อนแอ แต่เป็นหลัวซิวที่แข็งแกร่งเกินไป ปราณแท้ของเขาบริสุทธิ์และทรงพลัง พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งของเจิงคุนมิอาจต้านทานได้”
“หลัวซิวเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจริง ๆ ถอยเพื่อตั้งรับ เอาชนะในกระบวนท่าเดียว?”
คิดมาถึงตรงนี้ ผู้คนไม่น้อยได้แข็งทื่อไปอีกครั้ง ต่างประหลาดใจขึ้นมา
ตามหลักแล้ว หลัวซิวฝึกวิชากระบี่ระดับ4 จนถึงขั้นบริบูรณ์ จักต้องชำนาญวิชาดาบอย่างไม่ต้องสงสัย และเขายังแสดงวิชาหมัดระดับ2 ออกมาได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เยี่ยงนั้นวิชากระบี่ของจะร้ายกาจ และเร็วเพียงใด?
“ถ้าใช้กระบี่ เกรงว่าเขาคงสามารถปลิดชีวิตเจิงคุนได้ในกระบี่เดียว!”
“มิน่าเขาถึงไม่ใช้กระบี่ เพราะไม่อยากทำร้ายคนงั้นลือ?”
เจ้าสำหนักลู่ผู้สูงส่ง มาถึงวันนี้ยังอดไม่ได้ที่จะประเมินหลัวซิวคนนี้ใหม่อีกครั้ง
“ลู่เมิ่งเหยา สายตาของเจ้าไม่เลวเลย” จ้องมองไปยังบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง เขาก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที
ลู่เมิ่งเหยาชะงัก “ท่านพ่อ ท่าน......”
“ไม่มีใครรู้จักบุตรสาวดีไปกว่าพ่อ พ่อจะมองความคิดของเจ้าไม่ออกได้เยี่ยงไรเล่า? เพียงแต่คิดจะเทียบเคียงบุตรสาวของข้า เว้นแต่ว่าก่อนอายุสิบแปดปีเขาจะสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์นอกสำนัก และเข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักได้ถึงจะได้!” ลู่เฟยเฉินยิ้มกล่าว
“ท่านพ่อ......” ครั้งนี้ลู่เมิ่งเหยาฟังเข้าใจความหมายของบิดาของตนเองแล้ว ใบหน้าโฉมสะคราญแดงปลั่งขันมาทันที
หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ สำหรับสายตาอิจฉาหรือริษยา เคารพยำเกรงเหล่านั้น เขาล้วนทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าได้เลื่อนสายตาไปที่ลู่เมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายผู้นำนอกสำนักแทน
เขามั่นใจในฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก ปราศจากการขัดขวางของจางหลู่เหลียง เขามั่นใจเป็นอย่างมากที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบมาครอง
“เจ้าบอกกับข้าว่า จะรอข้าที่สำนักเซียวเหยา วันนี้ข้ามาแล้ว......” นี่คือเสียงในใจของหลัวซิวในเวลานี้!
ลู่เมิ่งเหยาเองก็พบเห็นสายตาที่หลัวซิวมองมา แก้มที่แดงปลั่งร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ดูเหมือนไม่กล้าจะประสานสายตากับเขาสักเท่าไรนัก
เดิมทีนางคิดว่าคงอีกสักปีสองปีหลัวซิวถึงจะสามารถเข้าสำนักเซียวเหยาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ จะมาถึงเร็วเช่นนี้ กะทันหันเยี่ยงนี้
“นี่ใช่ความรู้สึกของการชอบใครสักคนหรือเปล่า?”
ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของลู่เมิ่งเหยา ถึงแม้นางจะอายุมากกว่าหลัวซิวถึงเก้าปีก็ตาม ทว่าสำหรับคนที่ฝึกวรยุทธ์แล้ว ตราบใดที่ทะลวงถึงแดนพรสวรรค์ ก็จะมีอายุขัยสามร้อยถึงห้าร้อยปี ระยะห่างเพียงแค่เก้าปีไม่นับอะไร
โรคชีพจรขาดธาตุไฟไม่มีอยู่อีกต่อไป ลู่เมิ่งเหยามีความมั่นใจที่จะก้าวไปถึงขั้นแดนพรสวรรค์ หรือแม้แต่ขั้นแดนเทพยุทธ์
และหลัวซิวนั้นมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่บิดาเห็นด้วย เช่นนั้นโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันนับว่ามีมากเลยทีเดียว
ในตอนที่ลู่เมิ่งเหยากำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ภายในใจนั่นเอง การทดสอบบนเวทีประลองยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไป
ผู้ใดที่พ่ายจะตกรอบทันที ผู้ชนะจะได้รับคะแนนเพิ่มขั้นขึ้น
ไม่นาน การประลองยุทธ์รอบที่หนึ่งก็ได้จบลง
จางหลู่เหลียงลุกยืนขึ้น ประกาศกติกาการแข่งขันในรอบที่สอง “ทั้งยี่สิบห้าคนที่เหลืออยู่ ผู้ใดที่มีคะแนนต่ำ สามารถท้าประลองคนที่มีคะแนนสูง ถ้าหากสามารถเอาชนะได้ ก็จะได้อันดับของอีกฝ่ายไปครอง สุดท้ายผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรก ก็จะกลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาอย่างเป็นทางการ!”
ณ เวลานี้ หลัวซิวอยู่ที่อันดับหนึ่ง อันดับสองคือหวางช่าน และตามด้วยสวีผิง
มิต้องสงสัย ผู้ที่มีอันดับต่ำลงมาหากต้องการช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าเป็นศิษย์นอกสำนัก พวกเขาทั้งสามคนจักต้องรับการท้ามากมาย
อันดับแรก ดรุณีที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบห้านางหนึ่งได้เดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ผู้ที่นางจะท้าประลองด้วย คือสวีผิงที่อยู่ในอันดับสาม
ช่วงเวลาเพียงแค่สั้น ๆ การท้าประลองล้มเหลว!
จากนั้น ผู้ที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสี่ ยี่สิบสาม ยี่สิบสอง......ขึ้นเวทีประลองไปทีละคน บางคนท้าประลองสวีผิง บางคนท้าประลองหวางช่าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...