ห้าแสน!
เจียงหว่านและจ้าวหลินตกใจพร้อมกัน ส่วนจ้าวโป๋ก้มหน้าลง และไม่กล้าพูดอะไร
สีหน้าของเจียงหว่านแย่มาก สำหรับเธอแล้ว เงินห้าแสนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นประธานบริษัท แต่ก็ต้องเก็บเงินไว้เป็นทุนหมุนเวียน แล้วเธอจะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากไหน เว้นเสียแต่จะขายบ้าน
และขณะนี้ เจี่ยงฮัวกล่าวแบบรนหาความตายว่า “จี้สับปะรังเคของคุณ มีมูลค่าสามแสนเหรอ? นี่มันเป็นการขู่กรรโชกชัด ๆ ?”
ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองเย้ยหยันและกล่าวว่า “วันนี้ผมซื้อจี้นี้มาจากร้านแอร์เมส ผมมีใบเสร็จด้วย คุณคิดว่ามันมีมูลค่าสามแสนไหม?”
“ถึงจะมีใบเสร็จ มันก็เป็นเพราะผู้หญิงร่านคนนี้ยั่วยวนก่อน” เจี่ยงฮัวยังคงเถียงข้าง ๆ คู ๆ
เพี๊ยะ!
ขณะที่เจี่ยงฮัวกำลังพูด ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองก็ตบหน้าเธอ
“แม่งฉิบหาย พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย!”
เมื่อจ้าวโป๋เห็นแม่ของตนเองถูกตบหน้า เขาทำได้เพียงก้มหน้าลง และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?” เจียงหว่านกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะนี้ หากจ้าวโป๋ยอมขอโทษพวกเขา บางทีอาจจะทำให้พวกเขาใจอ่อนและลดให้
แต่จ้าวโป๋กล่าวว่า “เรื่องนี่.....เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมเพิ่งมาเมืองเจียงหนาน ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก หากจะชดใช้ คุณก็ต้องเป็นคนชดใช้ เพราะยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกคุณเป็นคนพาผมมาที่สปาหรงเหม่ยเอง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ แล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
“บางที...บางทีพวกคุณอาจจะสมรู้ร่วมคิด และเจตนาโกงเงินของครอบครัวผม!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงแค่ครอบครัวของเจียงหว่านเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ฝูงชนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน บุคคลนี้ต้องไร้ยางอายขนาดไหน ถึงจะสามารถพูดเช่นนี้ได้?
“คุณแม่ ได้ยินแล้วใช่ไหม? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนใจแต่คูปองฟรีของสปาหรงเหม่ยเท่านั้น และยืนกรานที่จะมาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเขากลับปัดความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้คุณแม่” เจียงหว่านกล่าวด้วยความเย็นชา
“จ้าวโป๋ คุณหมายความว่ายังไง? การที่ฉันพาพวกคุณมาที่นี่ มันกลายเป็นความผิดของฉันเหรอ?” จ้าวหลินโกรธมากเช่นกัน เธอรู้ว่านิสัยของครอบครัวนี้ค่อนข้างแย่ แต่การพูดแบบนี้ มันไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว?
“ผม......ผมทำอะไรล่ะ? พวกคุณพาพวกเรามาที่นี่จริง ๆ” จ้าวโป๋กล่าวอย่างไร้เหตุผล
“ถูกต้อง พี่จ้าว พวกคุณตระกูลเจียงเป็นตระกูลเศรษฐี สำหรับพวกคุณแล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ เป็นแค่เศษเงินเท่านั้น” เจี่ยงฮัวกล่าว
จ้าวเสียเวิ่นไม่มีความเป็นลูกผู้ชายแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พวกเขาเถียงข้าง ๆ คู ๆ ทำไงได้ล่ะ! ใครใช้ให้เขาไม่มีเงินห้าแสน
ตอนแรกเจียงหว่านมาที่นี่เพื่อจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหา แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขาแล้ว เธอรู้สึกผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เธอกล่าวกับชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองว่า “เงินมากขนาดนี้ พวกเราชดใช้ไม่ไหวหรอก ใครเป็นคนทำเสีย พวกคุณก็ให้คนนั้นชดใช้เถอะ”
“คุณแม่ ในเมื่อน้าสะใภ้พูดแบบนี้แล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
คราวนี้ ก็ถึงคราวที่ครอบครัวของจ้าวโป๋ตกตะลึงแล้ว
ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเยาะเย้ยว่า “ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร ผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนชดใช้ ถ้าไม่ชดใช้ ผมจะหักแขนของเจ้าหมอนี้ทั้งสองข้าง แม่งฉิบหาย กล้าแตะต้องผู้หญิงของกู?”
เมื่อจ้าวโป๋ได้ยินว่าจะหักแขนตนเอง เขาตกใจจนขาอ่อนแรง และตะโกนเสียงดังว่า “คุณแม่ ช่วยผมด้วย! ผมไม่อยากตาย!”
ตอนนี้เขาหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง
“พี่ พวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ” เจี่ยงฮัวรู้สึกกังวลเช่นกัน
“ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร ทิ้งมือไว้สองข้างก็พอ” ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองโบกมือและกล่าว
ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เดินไปข้างหน้าทันที แล้วกดตัวจ้าวโป๋เอาไว้
“ช่วยด้วย...คุณแม่ ช่วยผมด้วย...คุณแม่!”
จ้าวโป๋ร้องไห้ทันที ตกใจจนเกือบจะฉี่ราด
เจี่ยงฮัวเป็นผู้หญิงที่ชอบให้ท้ายลูกตัวเอง และมีจ้าวโป๋เป็นลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอจับแขนของจ้าวหลินไว้แน่น “พี่จ้าว คุณทำแบบนี้กับพวกเราไม่ได้น่ะ จ้าวโป๋อายุเพียงแค่ยี่สิบสามเท่านั้น การที่คุณทำแบบนี้ มันเป็นการผลักให้พวกเราไปตายน่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...