“เจ้าเสว่ ทำอย่างไรดีเล่า ? หนวกหูจริง ๆ มีไม่ใครมาช่วยพวกเราขับไล่คนชั่วเสียที” ฉู่หวูโยวเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงสนิทสนม แฝงไปด้วยความเอ็นดูและความไร้เดียงสา ราวกับกำลังหยอกล้ออยู่กับเด็กคนหนึ่ง
น้ำเสียงเช่นนั้นของนาง ทำให้สติของทุกคนหลุดลอยไป จนไม่ได้สนใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง และคิดเพียงว่า นางแค่กำลังหยอกล้ออยู่กับมาสทิฟฟ์ขาวเท่านั้น
แต่ทว่า น้ำเสียงของนางหยุดชะงักลงเล็กน้อย และคำพูดที่ดังขึ้นหลังจากนี้ ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงโดยสมบูรณ์
“เจ้าเสว่ หรือว่า เจ้าไปจัดการเองสิ” ฉู่หวูโยวลูบหัวของมาสทิฟฟ์ขาว น้ำเสียงดูเหมือนกำลังหารือ แต่กลับฟังดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
มาสทิฟฟ์ขาวมีนิสัยกระตือรือร้นเป็นทุนเดิมอยู่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็รีบลุกขึ้นทันที และกระโจนเข้าใส่เฟิงหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว
มาสทิฟฟ์ขาวที่โตเต็มวัยตัวหนึ่ง สามารถเอาชนะเสือดาวหนึ่งตัว หรือแม้กระทั่งหมาป่าสามตัวได้อย่างสบาย ๆ
สีหน้าของเฟิงหลิงหยุนเปลี่ยนไปในทันที คิดจะวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่ความเร็วของเขาจะเทียบกับมาสทิฟฟ์ขาวได้อย่างไร
ฉู่หวูโยวจ้องมองอย่างไม่แยแส เมื่อวาน ในฐานะที่เฟิงหลิงหยุนเป็นหมอหลวง แต่กลับปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วย วันนี้นางขู่ให้เฟิงหลิงหยุนตกใจกลัวเสียหน่อย ก็คงไม่นับว่าทำเกินกว่าเหตุ
ก่อนหน้านี้ เฟิงหลิงหยุนเองก็เคยรังแกร่างเดิมมาไม่น้อย ถือเสียว่านางทำเช่นนี้เพื่อระบายความแค้นให้กับร่างเดิม
มาสทิฟฟ์ขาวเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างยิ่ง แต่สามารถหยุดได้ในทันทีที่ออกคำสั่งให้หยุด
ถึงแม้นางจะเล่นสนุก แต่ก็รู้จักบันยะบันยัง
เพียงแต่ มาสทิฟฟ์ขาวยังไม่ทันจะกระโจนเข้าใส่เฟิงหลิงหยุน จู่ ๆ ไป๋อี้เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเฟิงหลิงหยุน แล้วปัดมือไปทางมาสทิฟฟ์ขาวในทันที
แววตาทั้งสองข้างของฉู่หวูโยวหมองหม่นลง และรีบตะโกนขึ้นว่า : “เจ้าเสว่ กลับมา”
นางรู้พลังของฝ่ามือนั้นดี นางไม่ต้องการให้เจ้าเสว่ได้รับบาดเจ็บ บางครั้งสุนัขก็ดีกว่าคน แค่เราทำดีกับมันเพียงเล็กน้อย มันก็จะซื่อสัตย์กับเราอย่างที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือวีรบุรุษสุนัขมาสทิฟฟ์ขาว นางทนไม่ได้ที่จะเห็นมันบาดเจ็บแม้แต่น้อย
มาสทิฟฟ์ขาวหยุดการโจมตีในทันที แล้วกลับมาอยู่ข้าง ๆ ฉู่หวูโยวอย่างว่าง่าย
เฟิงหลิงหยุนถอนหายใจยาวออกมา เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย
ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋อี้เฉินกลับเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปยังใบหน้าของฉู่หวูโยว ที่ยังไม่ทันได้เก็บซ่อนความตกตะลึงจากความร้อนใจ นางเป็นห่วงมาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้น มากกว่าเขาจริง ๆ......
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา
แต่ไป๋อี้เฉินกลับยังไม่หยุด ฝ่ามือนั้นของเขาพุ่งตรงไปยังฉู่หวูโยว
ฉู่หวูโยวนั่งพิงตัวอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงครึ่งหนึ่ง แล้วหันมองไป๋อี้เฉินเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ใบหน้าสง่างาม อารมณ์สงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง......แม้แต้น้อย ร่างกายไม่ขยับ......แม้สักนิด
ไป๋อี้เฉินตกตะลึง จ้องมองไปที่ฉู่หวูโยว ทันใดนั้นเอง แววตาของเขาก็ปรากฏความตกใจออกมา
ตอนนี้ไป๋อี้เฉินรู้สึกตื่นตกใจจริง ๆ การเผชิญหน้ากับเรื่องต่าง ๆ ด้วยความสงบนิ่งเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากคนเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือองค์ชายเจ็ด ซวนหยวนหรงโม่ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้นางจะ......
และมุมปากที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของนาง ก็ดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด เหมือนกับภูตสาว แต่ก็เหมื่อนกับปีศาจ เหมือนมีมนต์วิเศษที่หลอกล่อให้คนลุ่มหลง
รู้ทั้งรู้ว่านั่นคือนรกอันน่ากลัว แต่กลับถลำลึกลงไปอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้
ท่าทางการนั่งที่ดูเกียจคร้านของนาง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดจา แต่กลับดูเหมือนมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น แผ่รัศมีออกมา
ไป๋อี้เฉินตกตะลึง และรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่าง สั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตใจในทันที
ไป๋อี้เฉินสูดหายใจเข้าเต็มปอด : “ฉู่หวูโยว ข้ารู้ว่าที่เจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากข้า......”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร
555น้องแสบ...
รออ่านน้า ชอบ มากเลยค่ะทุกเรื่องที่แอดลง อ่ะ...