น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร นิยาย บท 6

“นางยุ่ง ? ยัยบ๊องอย่างนางจะยุ่งอะไรได้ ? นางวางยาพิษน้องหลันกับน้องหยู ก็เพื่อให้อี้เฉินมาพบนางไม่ใช่หรืออย่างไร ? ตอนนี้อี้เฉินมาถึงแล้ว นางยังจะเสแสร้งอะไรอีก หลีกไปให้พ้น” เฟิงหลิงหยุนไม่สนใจตงเอ๋อร์เลยสักนิด และรีบบุกเข้าไปในทันที

“คุณ คุณหนู ข้าน้อยไม่อาจขวางพวกเขาไว้ได้เจ้าค่ะ” ตงเอ๋อร์ทำได้เพียงเดินเข้ามาหาฉู่หวูโยว แล้วก้มหน้ารายงาน

ฉู่หวูโยวเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ที่ทั้งประณีตและนั่งสบาย มือข้างหนึ่งถือแก้วชาเอาไว้อย่างหลวม ๆ แล้วค่อย ๆ จิบชาทีละนิด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังลูบขนอันเงางามของมาสทิฟฟ์ขาวที่ซบอยู่บนตัวนาง

แววตาทั้งสองข้างของนางลดต่ำลงเล็กน้อย เอาแต่จ้องมองไปยังมาสทิฟฟ์ขาวที่ซบอยู่บนตัวของตนเอง โดยไม่ชายตาขึ้นมามองแม้แต่น้อย

ไป๋อี้เฉินผงะไป เขารู้ว่านางไม่ปัญญาอ่อนอีกต่อไป ขณะที่เดินทางมาก็จินตนาการท่าทางของนางไปต่าง ๆ นานา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้เห็นภาพเช่นนี้......

สายตาของไป๋อี้เฉินจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉู่หวูโยว

ถึงแม้ว่าเขาและนางจะหมั้นหมายกันนานแล้ว ถึงแม้ว่านางจะคอยตามติดเขา วนเวียนอยู่รอบตัวเขาทั้งวัน แต่เขากลับไม่เคยมองดูนางอย่างละเอียดมาก่อน

เมื่อมองดูแล้ว ก็ยังคงเป็นใบหน้าของคนสติไม่ดี เป็นใบหน้าของคนอัปลักษณ์

เพียงแต่ใบหน้าที่ยังคงมอมแมม และหางตาที่ยังคงตกอยู่ในตอนนี้ จู่ ๆ กลับไม่รู้สึกว่าอัปลักษณ์ขนาดนั้นอีกต่อไป

สายตาของไป๋อี้เฉินจับจ้องไปยังมาสทิฟฟ์ขาวท่าทีเชื่อง ที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่หวูโยว และรู้สึกตกตะลึงในใจ

มาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้นเป็นเครื่องบรรณาการที่ถูกส่งมาจากทิเบต ซึ่งฝ่าบาททรงพระราชทานให้กับพระยาฉู่ มาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้นซื่อสัตย์กับเจ้าของเป็นอย่างยิ่ง และจะยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น

ปกติแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มัน ก่อนหน้านี้ ฉู่หวูโยวหวาดกลัวมันอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนี้……

ตอนนี้ แม้แต่ไป๋อี้เฉินเอง ยังสงสัยว่าสายตาของตนเองมีปัญหาหรือไม่

เฟิงหลิงหยุนเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ยัยบ๊องไม่ปัญญาอ่อนแล้วจริงหรือ ?

ฉู่หวูโยวยังคงก้มหน้า เพียงแต่ริมฝีปากแดงระเรื่อเริ่มขยับเล็กน้อย น้ำเสียงนุ่มนวลที่ฟังดูเบาบางอย่างยิ่งดังขึ้นมา : “ศาลาในของคุณหนูในจวนเจ้าพระยาเป็นสถานที่ที่จะปล่อยให้ชายผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บุกรุกเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ ?”

ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเบาบาง แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องตกตะลึง

น้ำเสียงที่เบาบางนั้น กลับดูมีพลังอำนาจจนไม่อาจต้านทานได้

ไป๋อี้เฉินดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง เมื่อได้ยินคำว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

เฟิงหลิงหยุนตกตะลึงจนสติหลุดลอยไปสักพัก หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโหทันที : “ฉู่หวูโยว เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว ที่จริงแล้วเจ้าต้องการ......”

ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนนี้คอยตามตื๊อไป๋อี้เฉินอย่างไร้ยางอาย แล้วตอนนี้จะแสร้งถือตัวไปทำไม

“ไล่ออกไป” น้ำเสียงที่เบาบางของฉู่หวูโยวดังขึ้นอีกครั้ง ตอนที่พูดคำว่า “ไล่” ออกมา ดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับจะสุภาพยิ่งกว่าคำว่าเชิญเสียอีก

ทว่า ฉู่หวูโยวกลับไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบขึ้นมามองพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

น้ำเสียงที่เบาบางเช่นนี้ของนาง กลับระงับเสียงตะคอกด้วยความโมโหของเฟิงหลิงหยุนได้อย่างสนิท ถึงขั้นทำให้คำพูดของเฟิงหลิงหยุนติดอยู่ในลำคอ

มุมปากของชิงจั๋วกระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไล่ออกไป ?

องค์ชายทั้งสองท่านนี้ไม่ใช่คนธรรมดานะ

ตระกูลไป๋เป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ส่วนตระกูลเฟิงก็อยู่ในอันดับสอง

เฟิงหลิงหยุนเป็นหมอหลวงในวัง ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท

ไป๋อี้เฉินเป็นผู้ชนะในเวทีจอมบุรุษสามโลกาติดต่อกันตั้งแต่อายุสิบสองปี ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ จึงได้รับการขนานนามจากราษฎรทั่วหล้าว่า องค์ชายหมายเลขหนึ่ง

ทรัพย์สินของตระกูลไป๋ที่อยู่ในมือของไป๋อี้เฉิน นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูร ได้ยินว่าเงินของจวนไป๋ มีมากกว่าในท้องพระคลังเสียอีก

แม้กระทั่งรัชทายาทเอง ยังต้องประจบประแจงไป๋อี้เฉิน ส่วนฝ่าบาทก็ทรงชื่นชมไป๋อี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง

องค์ชายทั้งสองท่านคือคนที่นางจะขับไล่ได้หรือ ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร