สรุปเนื้อหา บทที่ 9 องค์ชายเจ็ดหันมองนาง – น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร โดย อล่าม
บท บทที่ 9 องค์ชายเจ็ดหันมองนาง ของ น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร ในหมวดนิยายนิยายย้อนยุคทะลุมิติ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย อล่าม อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ต้องขอบคุณการเผยแพร่ของสาวใช้ชิงจั๋วผู้นั้น หลังจากระบายความแค้นได้ในที่สุด ทำให้เรื่องที่นางปล่อยสุนัขไปกัดไป๋อี้เฉิน กลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว
ซวนหยวนฝานได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพียงแต่เขาไม่เชื่อเลยสักนิด
เดิมทีเขาคิดจะไปซักถามไป๋อี้เฉินเสียก่อน แต่คิดไม่ลึงเลยว่า จะพบฉู่หวูโยวเข้าที่นี่
“อะไรนะ ? คงไม่ใช่หรอกกระมัง เจ้านะหรือปล่อยสุนัขกัดไป๋อี้เฉิน ?” ซวนหยวนเฉินที่เพิ่งยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาก็แทบจะทำหลุดมือ แล้วหันมองฉู่หวูโยวด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ตอนนี้ซวนหยวนเฉินมีสีหน้าตกตะลึง แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือความสงสัย
ในราชวงศ์ซวนหยวน มีใครไม่รู้บ้างว่าฉู่หวูโยวคลั่งไคล้ไป๋อี้เฉิน วันวันเอาแต่ไล่ตามไป๋อี้เฉิน วนเวียนอยู่รอบตัวไปอี้เฉิน ยอมทำแม้กระทั่งเรื่องหน้าอาย เพื่อให้ได้พบหน้าไป๋อี้เฉินสักครั้ง
ฉู่หวูโยวจะปล่อยสุนัขออกมากัดไป๋อี้เฉินได้อย่างไร ?
ในแววพระเนตรของฮองเฮาเอง ก็แฝงไปด้วยความตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
มีเพียงองค์ชายเจ็ด ซวนหยวนหรงโม่เท่านั้น ที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง จิบชาของเขาต่อไปอย่างไม่แยแสเพราะไม่ใช่เรื่องของตน
“พวกเขาบุกรุกเข้าไปในศาลาในของหม่อมฉัน ไล่ก็ไม่ไปเพคะ” ฉู่หวูโยวขยับริมฝีปากแดงระเรื่อ น้ำเสียงเบาบางแฝงไปด้วยความไร้เดียงสา และความรู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีความรู้สึกผิดและนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของฉู่หวูโยวไม่ใช่การอธิบาย แค่เพียงเล่าให้ฟังเท่านั้น ราวกับกำลังบรรยายเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญ
ซวนหยวนฝานและซวนหยวนเฉินต่างยืนตัวแข็งทื่อ ทำสีหน้าตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
หลังจากความรู้สึกตกตะลึงของซวนหยวนเฉินจางหาย แววตาอันบริสุทธิ์คู่นั้นกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ทว่า ฉู่หวูโยวกลับพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค : “ไม่ใช่สุนัข แต่เป็นมาสทิฟฟ์ขาว”
คำพูดนี้ของนาง เป็นการแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดที่ฟังดูดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง มาสทิฟฟ์ขาวเป็นถึงวีรบุรุษสุนัขจีน จะรังแกมันได้อย่างไร
ชิงจั๋วซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของนาง ริมฝีปากกระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง นางช่วยแนะนำมาตรฐานในการพูดกับนายหญิงไปแล้ว
แต่ครั้งนี้ กลับรู้สึกจนใจโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ นายหญิงอธิบายออกมาเช่นนี้ ทำให้รู้สึก......
ฮองไทเฮาทรงผงะไป จากนั้นก็ทรงพระสรวลออกมา : “นังหนูคนนี้พูดจาน่าสนใจยิ่งนัก”
ซวนหยวนหรงโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วหันมองฉู่หวูโยวหนึ่งครั้ง
ฉู่หวูโยวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฮองไทเฮาในตอนนี้ ก้มหน้าลงเล็กน้อย ดูน่าเอ็นดูและว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างยิ่ง
หางคิ้วของซวนหรงโม่กระตุกเล็กน้อย
น่าเอ็นดู ? ว่านอนสอนง่าย ?
เป็นความน่าเอ็นดูและว่านอนสอนง่าย ในขณะที่นางกำลังแก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องที่ใช้มาสทิฟฟ์ขาวไล่คนไม่ใช่สุนัขอย่างดื้อรั้น
ตอนที่ฮองไทเฮาทรงหันเหสายพระเนตร ก็บังเอิญเห็นสีหน้าของซวนหยวนหรงโม่ ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในขณะที่หันมองฉู่หวูโยว
ฮองไทเฮาทรงผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏประกายแวววาวขึ้นในแววพระเนตรทันที
หลังจากพวกขององค์ชายเจ็ดกลับออกไปแล้ว ไทเฮาก็ทรงดึงมือของฉู่หวูโยวมา แล้วตรัสขึ้นด้วยความตื้นเต้น พร้อมกับแววพระเนตรที่เป็นประกาย : “เมื่อครู่หรงโม่หันมองเจ้า”
ฉู่หวูโยวรู้สึกงุนงง องค์ชายเจ็ดหันมองนางมีอะไรน่าแปลกใจกัน ?
ฉู่หวูโยวรู้ดีว่าองค์ชายเจ็ดเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ ความสามารถที่มีนั้นน่าทึ่งและมากมายราวกับสายลมที่โหมกระหน่ำมา นับได้ว่าเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊
ตอนอายุสิบสามปี องค์ชายเจ็ดได้น่วมอภิปรายกับเหล่าเสนาบดีในราชสำนัก แม้แต่ราชครูในสมัยนั้นยังถูกอภิปรายจนพูดไม่ออก ทำให้เหล่าขุนนางรู้สึกนับถือจากใจจริง
ตอนอายุสิบห้าปี องค์ชายเจ็ดทรงออกศึก และสามารถเอาชนะข้าศึกได้ด้วยความกล้าหาญและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซ้ำยังให้ข้าศึกลงนามยอมจำนน ออกรบเพียงครั้งเดียวก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า
ตอนอายุสิบเก้าปี นำกำลังคนซ่อมแซมคลองขนส่ง ช่วยผู้คนไว้นับไม่ถ้วน อำนวยสุขให้ราษฎรทุกหนแห่ง จึงได้รับความรักจากราษฎรอย่างล้นหลาม
“ขอบพระทัยเสด็จย่าเพคะ” ฉู่หวูโยวอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบขอบพระทัยอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าฮองไทเฮาทำตามความประสงค์ของนาง แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ นางจึงรู้สึกหวาดวิตกในใจ ราวกับว่าถูกวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ?
นางคงคิดมากไปอย่างแน่นอน ฮองไทเฮาทรงเอ็นดูนางขนาดนี้ แล้วจะคิดวางแผนทำอะไรกับนางได้กันเล่า ?
หลังออกมาจากตำหนักโซว่กง ชิงจั๋วก็ประคองฉู่หวูโยวขึ้นรถม้า รถม้านี้วิ่งอย่างตะกุกตะกัก
แต่ฉู่หวูโยวกลับรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง ดีกว่ายานพาหนะในยุคปัจจุบันเป็นไหน ๆ
เพราะในยุคปัจจุบัน นางนั่งรถก็เมารถ นั่งเรือก็เมาเรือ นั่งเครื่องบินก็เมาเครื่องบิน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ล้วนทุกข์ทรมานแทบตาย
ฉู่หวูโยวกำลังเสพสุขกับความสบายที่เป็นเอกลักษณ์นี้ แต่จู่ ๆ รถม้าก็หยุดชะงักลง
ฉู่หวูโยวลืมตาขึ้นเล็กน้อย สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ? คงไม่ชนใครเข้าหรอกใช่ไหม
“เกิดอะไรขึ้น ?” ชิงจั๋วเปิดผ้าม่านขึ้น แล้วตะโกนถามด้วยความโมโห : “ทำไมจึงหยุดอย่างกะทันหัน......”
ชิงจั๋วพูดประโยคนี้ไปเพียงครึ่งเดียว แล้วจู่ ๆ กลับหยุดชะงัก จากนั้นจึงหันกลับไปหาฉู่หวูโยวอย่างรวดเร็วทันที : “นายหญิง ฮูหยินไป๋เจ้าค่ะ”
“ฮูหยินไป๋ ?” ฉู่หวูโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า นึกไม่ออกว่าฮูหยินไป๋คนไหน
“มารดาขององค์ชายไป๋เจ้าค่ะ กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้ารถม้า ขวางทางรถม้าเอาไว้เจ้าค่ะ” ชิงหัวเห็นความงุนงงของนายหญิงของตนเอง จึงรีบเอ่ยอธิบาย
ฉู่หวูโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮูหยินไป๋มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารถม้าของนาง ?
“คุณหนูฉู่ ได้โปรดละเว้นน้องหยูของข้าด้วย น้องหยูไม่รู้ความ ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ ก็ขอรับโทษแทนน้องหยู ขอเพียงแค่คุณหนูฉู่ ยอมละเวนน้องหยูของข้าสักครั้ง” ด้านนอกรถม้า มีเสียงร้องที่ฟังดูเจ็บปวดดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“เรื่องนี้เป็นความผิดของน้องหยูทั้งหมด เป็นเพราะน้องหยูกระทำการชั่วร้ายโดยไร้เหตุผล เป็นน้องหยูที่เอาแต่ก่อความวุ่นวายไปทั่ว ถึงแม้น้องหยูควรได้รับโทษ แต่ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ จึงจำต้องมาขอร้องคุณหนูฉู่ หวังว่าคุณหนูฉู่จะยอมละเว้นน้องหยูสักครั้ง” ฮูหยินไป๋เอ่ยขอโทษอย่างจริงจัง ด้วยท่าทางที่ถ่อมตัวเป็นที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร
555น้องแสบ...
รออ่านน้า ชอบ มากเลยค่ะทุกเรื่องที่แอดลง อ่ะ...