นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1123

สรุปบท บทที่ 1123 สูงศักดิ์,ข้าจะตามหาเจ๋อเจ๋อ: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปเนื้อหา บทที่ 1123 สูงศักดิ์,ข้าจะตามหาเจ๋อเจ๋อ – นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บท บทที่ 1123 สูงศักดิ์,ข้าจะตามหาเจ๋อเจ๋อ ของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย อาช้าย อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ความปรารถนาที่จะทานอาหารเย็นกับซุนซือสิงล้มเหลว เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงไปกินข้าวเพียงลำพัง ในตอนที่ถึงห้องอาหาร พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่าเสด็จอาเก้ามาถึงแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ มองไปที่เสด็จอาเก้า รอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติปรากฏออกมา

“กลับมาแล้ว”

ประโยคง่าย ๆ แต่กลับดูใกล้ชิดเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่าการที่เสด็จอาเก้ากลับมายังจวนเฟิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติ

เนื่องจากคำพูดประโยคนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน ใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าก็สลายไป ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “อ่า กลับมาแล้ว”

สามีภรรยาทั่วไปน่าจะเป็นแบบนี้ เสด็จอาเก้าจึงตอบกลับไปเช่นนั้น

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากคนรับใช้อย่างไม่ตั้งใจ เจ็บเหงื่อไคลบนใบหน้า จากนั้นยื่นมันให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วยความคุ้นเคยราวกับว่าเขาทำเช่นนี้มาเป็นพันครั้ง

แต่ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินรับผ้าเช็ดหน้าจากเขา สีหน้าของเสด็จอาเก้าก็เปลี่ยนไปทันที จ้องที่ลำคอของเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นก็ถามออกมาว่า “คอของเจ้าไปโดนอะไรมา?”

“คือ......” เฟิ่งชิงเฉินนำมือไปขึ้นไปกดมันโดยสัญชาตญาณ ยิ้มและตอบกลับมาว่า “บาดแผลเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เหตุใดทุกคนถึงเอาแต่พูดเกี่ยวกับคอของนาง หากเสด็จอาเก้าไม่เอ่ยขึ้นมา นางก็ลืมไปแล้วว่าคอของตนเองได้รับบาดเจ็บ

“แผลบนลำคอ จะเป็นบาดแผลเล็กน้อยได้อย่างไร ให้ข้าดูหน่อย” เสด็จอาเก้าไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น เข้ามาเปิดผ้าพันแผลบนลำคอของเฟิ่งชิงเฉินออก จากนั้นก็จ้องมองบาดแผล มันไม่ใช่บาดแผลที่ลึกอะไร แต่สีหน้าของเสด็จอาเก้ากลับน่าเกลียดยิ่งขึ้น

“แบบนี้ยังบอกว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อย อีกนิดเดียวมันก็จะพรากชีวิตของเจ้าไปแล้ว” หากมือของเจ้างั่งไม่ผิดองศาไป ชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินคงดับสิ้นไปแล้ว

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่เห็นหรือไง อย่าถอดผ้าพันแผลของข้า บาดแผลอยู่ที่ลำคอ มันพันยาก” เฟิ่งชิงเฉินตีมือของเสด็จอาเก้า จากนั้นก็นำผ้าพันแผลกลับมา

เห็นเสด็จอาเก้ายืนอยู่ที่เดิมด้วยความหดหู่ใจ เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวปลอบใจออกมา “ไม่เป็นอะไรจริง ๆ แค่เลือดไหลเพียงเล็กน้อย เวลานี้ก็ไม่เจ็บแล้ว และไม่มีผลกระทบอะไรกับการกินอาหาร”

เมื่อเทียบกับครั้งก่อน มันดีกว่ามาก ครั้งก่อนคนของตระกูลชุยวางแผนลอบทำร้ายนาง แทงมีดมาที่คอของนาง ทำให้หลอดอาหารของนางได้รับบาดเจ็บ

“เป็นฝีมือของใคร? มันอยู่ที่ไหน?” ไม่สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่สนใจเรื่องว่ามันเป็นฝีมือของใครคงไม่ได้ผิดอะไรใช่ไหม เสด็จอาเก้าถามออกมาด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม

“เรื่องนี้......คือว่า พวกเรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยกันได้ไหม?”หากต้องพูดเรื่องที่ร้ายแรงเช่นนี้ก่อนกินข้าว เกรงว่ากระเพาะอาหารคงทำงานไม่ปกติ

สายตาของเสด็จอาเก้าจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ไม่พูดอะไร เฟิ่งชิงเฉินถูกมองเช่นนั้นก็รู้สึกเครียดในหัวใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาก่อนดีหรือไม่ และในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินทนต่อแรงกดดันของเสด็จอาเก้าไม่ไหว เตรียมที่จะพูดออกมา เสด็จอาเก้าก็ปล่อยนางไป

“กินข้าวกันก่อน”

สี่พยางค์นี้เป็นเหมือนคำสาปแช่ง คนรับใช้ที่ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดรีบเคลื่อนไหวในทันที วางอาหารลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เฮ้อ......แรงกดดันของเสด็จอาเก้าช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก คนรับใช้ในจวนเฟิ่งเห็นเขา มันเหมือนกับหนูที่ได้เห็นแมว หากเสด็จอาเก้ามาที่จวนเฟิ่งบ่อย ๆ คนรับใช้พวกนี้จะต้องปรนนิบัติรับใช้เสด็จอาเก้าเป็นอย่างดี ไม่อาจปล่อยให้ขาดตกบกพร่องได้

ไม่พูดเวลากิน ไม่พูดเวลานอน แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ค่อยปฏิบัติตามเรื่องเหล่านี้ แต่ในตอนที่กินข้าวร่วมกับเสด็จอาเก้า นางกลับปฏิบัติตามมันเป็นอย่างดี

ช่วยไม่ได้ เผชิญกับใบหน้าที่จริงจังในเวลากินข้าวของเสด็จอาเก้า นางเองก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรจริง ๆ

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินมานั่งในห้องรับรอง คนรับใช้ได้เตรียมน้ำชาไว้ให้กับพวกเขาตั้งนานแล้ว

ดื่มชาหลังจากกินอาหารนั้นไม่ใช่นิสัยที่ดี มันทำให้อาหารย่อยได้ยาก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ชอบดื่มชา แต่ต่างจากเสด็จอาเก้า หลังจากกินอาหารเขาจะต้องดื่มช้าอย่างน้อยหนึ่งถ้วย เฟิ่งชิงเฉินเองก็เคยแนะนำ แต่เสด็จอาเก้าไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่มองตาของเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากนั้นเขาก็ยังคงทำเหมือนที่ผ่านมา

เฟิ่งชิงเฉินเห็นเสด็จอาเก้าดื่มชาหมดถ้วย นางจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาอย่างเชื่อฟัง โดยเน้นเรื่องที่เจ๋อเจ๋อหายตัวไป ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้างั่ง

นอกจากนั้นยังเล่าเรื่องที่หยุนเซียวและหวังจิ่นหลิงให้การช่วยเหลือนางออกมาอีกด้วย

เสด็จอาเก้าเข้าไปในพระราชวัง ไม่กลับออกมาหนึ่งวันเต็ม เวลาที่ดีที่สุดในการตามหาใครสักคนหลังจากที่หายตัวไปคือสิบสองชั่วโมงหลังจากนั้น นางไม่อาจปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ได้

“งี่เงา” หลังจากเสด็จอาเก้าได้ยินเช่นนั้น เขาสบถออกมาสองพยางค์ เฟิ่งชิงเฉินแทบจะสำลัก ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ แม้ว่านางอยากจะถามว่า งี่เง่าที่พูดถึงนั้นหมายถึงใคร

เจ๋อเจ๋อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เฟิ่งชิงเฉินมีความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และนางก็อยากให้คนของเสด็จอาเก้าช่วยออกตามหา ดังนั้นนางจึงไม่มีความมั่นใจ จึงทำได้เพียงยอมรับความผิดอย่างเชื่อฟัง

เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้ขัดขวางนาง หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินตำหนิตนเองอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายเสด็จอาเก้าก็ยอมปล่อยนางด้วยความเมตตา “เรื่องของเจ๋อเจ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นคนพาเจ๋อเจ๋อกลับมาเอง”

“เจ้าจะตามหาอย่างไร? ปิดเมืองอย่างนั้นหรือ?” ตระกูลหยุนตามหาในเมืองทั้งนั้นแต่กลับไม่พบเบาะแสของเจ๋อเจ๋อ เฟิ่งชิงเฉินสงสัยว่าเจ๋อเจ๋อน่าจะออกจากเมืองไปแล้ว

ด้วยความสามารถและสติปัญญาของเจ๋อเจ๋อ มันไม่ยากเลยที่เขาจะออกไปจากเมืองโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

เสด็จอาเก้าส่ายหน้า “ผ่านไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน เจ๋อเจ๋อน่าจะไม่อยู่ในเมืองจักรพรรดิแล้ว ดังนั้นจึงต้องออกไปตามหานอกเมือง เจ๋อเจ๋อคือนายน้อยแห่งลัทธิปีศาจ เขาหายตัวไปในดินแดนแห่งตงหลิง นี่เป็นความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของตงหลิง ข้าจะทำการออกคำสั่งให้นอกเมืองตามหานายน้อยเจ๋อเจ๋อในทันที”

หากเป็นไปได้จริง เสด็จอาเก้าเองก็ไม่อยากทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นทหารของประเทศไหน สำหรับเขาแล้ว ทุกคนต่างเป็นราษฎรของแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น แต่......

“หากต้องการสังหารซีหลิงเทียนเหล่ย สงครามครั้งนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น ซีหลิงเทียนเหล่ยมีทหารสามหมื่นนายคอยให้การปกป้อง แน่นอนว่าไม่มีใครอาจเข้าใกล้เข้าได้ หากต้องการพรากชีวิตของเขา อย่างน้อยก็ต้องกำจัดเบี้ยในมือของเขา”

มีกองทัพมีอำนาจ ประกอบกับจักรพรรดิผู้แก่ชรา ซีหลิงเทียนเหล่ยสามารถพลิกตัวได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนรวมหรือเรื่องส่วนตัว เสด็จอาเก้าไม่มีทางปล่อยให้ซีหลิงเทียนเหล่ยมีชีวิตอยู่เป็นแน่

“ซีหลิงเทียนเหล่ยมีทหารอยู่ในมือสามหมื่นนาย จะบอกว่ามากก็ไม่มาก จะบอกว่าน้อยก็ไม่น้อย หากเขาสามารถเอาชีวิตรอดในป่าควันพิษได้ เขาก็จะกลายเป็นหายนะอย่างแท้จริง การกำจัดเขาก่อนที่เขาจะไปถึงขั้นนั้น สำหรับข้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องดีและสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

สิ่งที่สำคัญก็คือ ตราบใดที่เขาสามารถปลุกระดมให้ตงหลิงและซีหลิงให้เคลื่อนตัวได้ เขาไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากมายก็สามารถกำจัดศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งมันคือความสุขอย่างแท้จริง

หากไม่ตัดรากถอนโคน เมื่อถึงฤดูกาลของมันก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็เหมือนกับระเบิดเวลา ในมือของเขามีกำลังทหาร และยังมีคนของจักรพรรดิซีหลิงที่แอบให้การสนับสนุนเขา หากเขามีชีวิตอยู่ เขาก็สามารถสร้างปัญหาได้ทุกเมื่อ สามารถแทงข้างหลังของเสด็จอาเก้า ตงหลิง และซีหลิงได้ภายในดาบเดียว

เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจความคิดของเสด็จอาเก้า นางเองก็อยากให้ซีหลิงเทียนเหล่ยตาย หากตงหลิงและหนานหลิงยกทัพออกไป จัดการกับทหารข้างกายของซีหลิงเทียนเหล่ย สำหรับนางแล้วก็ถือเป็นโอกาสที่ดี

เฟิ่งชิงเฉินระงับความโศกเศร้าที่เกิดจากสงคราม จากนั้นถามออกมาว่า “ใครเป็นแม่ทัพใหญ่ทางฝั่งของตงหลิง?”

ในเมื่อเสด็จอาเก้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อตามหาเจ๋อเจ๋อ เช่นนั้นคนที่นำทหารออกรบ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เขา

พูดไปพูดมา ต่อให้เสด็จอาเก้าไม่ออกไปตามหาเจ๋อเจ๋อ จักรพรรดิก็ไม่มีทางมอบอำนาจให้เสด็จอาเก้าได้ควบคุมกองกำลังทหาร เสด็จอาเก้ากุมอำนาจอยู่รอบด้าน หากได้กองกำลังทหารไปครอบครอง เช่นนั้นเขาก็เลิกเป็นจักรพรรดิได้แล้ว ยกบัลลังก์ให้เสด็จอาเก้าไปเลยเสียดีกว่า

“จื่อลั่ว” หลังจากเสด็จอาเก้าพูดจบ เขาก็กล่าวเสริมออกมาว่า “ข้าเป็นคนเสนอเขาขึ้นไปเอง”

“ลั่วอ๋อง เขาจะยอมนำทัพออกไปอย่างนั้นหรือ?” เท่าที่นางรู้ ลั่วอ๋องไม่เคยนำทัพไปออกรบมาก่อน ครั้งนี้ไปยังป่าควันพิษ มีโอกาสแปดส่วนที่เขาจะพ่ายแพ้

“จะมีความสามารถทางการทหารหรือไม่นั้น มันไม่สำคัญ ลูกน้องของเขายังมีคนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้” ในฐานะองค์ชาย ขอแค่มีคนที่ใช้งานได้ก็เพียงพอ และการไปทำสงครามครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ตนเอง

“เรื่องนั้นมันก็จริง ขอแค่เอาชนะสงครามได้ ทุกอย่างก็ว่าเป็นผลงานของลั่วอ๋อง จะไปสนใจทำไมว่าใครเป็นผู้นำ” การแย่งชิงผลงานทางการทหาร เฟิ่งชิงเฉินเห็นมันจนคุ้นชิน

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน สนามรบถือเป็นโอกาสทอง เหล่าลูกหลายของผู้มีอำนาจ ขอแค่มีชื่อออกไปร่วมรบ ต่อให้ตลอดการต่อสู้เขาจะเอาแต่หลับนอน หากมีชีวิตรอดกลับมาได้ นั่นก็คือเป็นความสำเร็จของเขา

“เจ้าพูดถูก ศึกครั้งนี้ไม่มีทางแพ้ ลั่วอ๋องต้องการความสำเร็จทางการทหารในครั้งนี้ ผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตงหลิงจื่อลั่วได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้” ด้วยเหตุนี้เอง เสด็จอาเก้าจึงไม่ต้องพยายามอะไรมากมายในการเสนอตัวลั่วอ๋องออกไป...... 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ