แน่นอน ประตูเมืองหนานหลิงแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเข้าไป แต่การที่เข้าไปเช่นนี้มันจะน่าอับอายเกินไปหรือเปล่า คนที่เย่อหยิ่งอย่างเสด็จอาเก้า จะยอมให้หนานหลิงหยามเกียรติได้อย่างไร
หนานหลิงจิ่นฝานเอ่ยปากขอโทษ เสด็จอาเก้าไม่ได้สนใจคำขอโทษพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงพูดอย่างเหน็บแนมผ่านผ้าม่านบนรถม้าออกมา “ข้าได้เฝ้าดูดวงดาวในยามค่ำคืน ทำนายออกมาว่าเข้าเมืองในวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดี แต่เวลานี้มันได้ล่วงเลยฤกษ์งามยามดีไปแล้ว และข้าก็คงทำได้เพียงรอให้ฤกษ์งามยามดีมาถึง”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ วันนี้เขายังไม่เข้าเมือง ส่วนจะเข้าเมืองวันไหนก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา และมันก็เป็นการบอกกับหนานหลิงจิ่นฝานไปพร้อมกันว่าเวลานี้เขามาถึงหนานหลิงแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน
หนานหลิงจิ่นฝานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้าคิดมาตลอดว่าเสด็จอาเก้านั้นเป็นคนนำพาชีวิตด้วยปัญญา คิดไม่ถึงว่าจะงมงายกับเรื่องพวกนี้ด้วย”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อ และบังเอิญว่าวันนี้ข้าอยากจะเชื่อในเรื่องพวกนี้บ้าง” เสด็จอาเก้าไม่สนใจคำเย้ยหยันของหนานหลิงจิ่นฝาน เขาออกคำสั่งกับลูกน้องของเขา “ไป!”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นหนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย และคนที่เสด็จอาเก้าพามา ทุกคนต่างภักดีต่อเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก รวมถึงแต่ทหารม้าสิบแปดแห่งตระกูลซื่อ แม้พวกเขาจะมาอยู่ภายใต้การปกครองของเสด็จอาเก้าเพียงแค่ชั่วคราว แต่เมื่อเสด็จอาเก้าออกคำสั่ง พวกเขาก็ปฏิบัติในทันที ไม่เห็นทหารม้าหุ้มเกราะของหนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
การกระทำดังกล่าวทำให้หนานหลิงจิ่นฝานโกรธเป็นอย่างมาก หนานหลิงจิ่นฝานก็เป็นคนทำอะไรสุดโต่ง เป็นคนเลือดร้อนแต่เดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันอีกต่อไป เขาจึงโบกมือ กัดฟันและตะโกนออกมาว่า “เชิญเสด็จอาเก้าเข้าเมือง”
“พ่ะย่ะค่ะ” คนที่หนานหลิงจิ่นฝานพามา เข้าใจคำว่า “เชิญ” จากปากของหนานหลิงจิ่นฝานเป็นอย่างดี แต่ละคนหยิบดาบและก้าวออกมาด้านหน้า
“ข้าบอกแล้ว มันเลยเวลาฤกษ์งามยามดีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องนองเลือด” ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะพูดกับตัวเอง แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือดอันเยือกเย็น ทำให้องครักษ์ที่อยู่รอบกายของเขาต่างมีร่างกายสั่นเทา
เมื่อเสด็จอาเก้าพูดประโยคดังกล่าวจบ เขาก็กล่าวออกมาอย่างเฉยเมยว่า “ฆ่า”
คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือด เสด็จอาเก้าพูดออกมาอย่างแผ่วเบา หากพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ คงคิดว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นผิดไป
ฆ่า!
นายท่านออกคำสั่งมาแล้ว มีสาเหตุอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องยั้งมือ นอกจากองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเพียงไม่กี่คน คนอื่น ๆ ก็ชักดาบออกมา เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
เคร่ง......เสียงดาบปะทะกัน ประกายไฟเกิดขึ้นเป็นชุด ๆ ดวงตาของหนานหลิงจิ่นสิงที่จับจ้องความร้อนแรงที่เกิดขึ้นเบิกกว้าง เขาแอบสาปแช่งอยู่ในใจ และเรียกทหารที่คอยเฝ้าประตูมาพบทันที
เขาไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยหนานหลิงจิ่นฝาน แต่เขาต้องการหยุดความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
เสด็จอาเก้าเสด็จมายังหนานหลิงตามคำเชิญ เดิมทีพวกเขาที่เป็นองค์ชายก็ควรออกมาทำการต้อนรับ แค่ไม่ออกมาต้อนรับก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับเกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายที่หน้าประตูเมือง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หนานหลิงจิ่นสิงส่งคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปหยุดการต่อสู้ และส่งคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปรายงานกับจักรพรรดิในพระราชวัง
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้อยากจะปกปิดอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้
แต่สายน้ำที่ห่างไกล ไม่อาจช่วยให้เปลวไฟดับลงได้ ในตอนที่ทหารเฝ้าประตูเมืองมาถึง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กันไปแล้ว แม้ว่าคนทางฝั่งของเสด็จอาเก้าจะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็ปลิ้นปล้อนและไม่ธรรมดา ทหารม้าสิบแปดและทหารคนสนิทปกป้องอยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้า ล้อมรอบเป็นวงกลมหลายวง ไม่ยอมปล่อยให้ทหารของหนานหลิงจิ่นฝานเข้ามากล้ำกราย
แม้ว่าคนของหนานหลิงจิ่นฝานมีจำนวนมาก แต่ขอบเขตในการต่อสู้มีเพียงเท่านี้ คนของเสด็จอาเก้าล้อมรอบเป็นวงกลม พวกเขาไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ พวกเขาทำได้แค่รุกหน้าไปทีละคนเหมือนกับกำลังยกทัพบุกโจมตีเมือง
ด้วยเหตุนี้ หนานหลิงจิ่นฝานไม่มีทางทำอะไรเสด็จอาเก้าได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และคนของเมืองจักรพรรดิก็คงไม่มอบเวลาให้กับหนานหลิงจิ่นฝานมากมายนัก
“เสด็จอาเก้า เจ้าคนน่ารังเกียจ” ทหารเฝ้าประตูเมืองมาถึงแล้ว แต่คนของหนานหลิงจิ่นฝานยังไม่สามารถฝ่าวงล้อมนอกสุดเข้าไปได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“หยิบธนูมาให้ข้า” หนานหลิงจิ่นฝานรู้ว่าเขามีเวลาไม่มาก ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองดู
หากสามารถสังหารเสด็จอาเก้าได้ก็คือดี แต่ถ้าสังหารไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ทำให้เสด็จอาเก้าได้รู้ว่า ที่นี่คือดินแดงหนานหลิง ไม่ใช่ที่ที่เสด็จอาเก้าจะเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า
ในตอนที่คันธนูถึงมือของหนานหลิงจิ่นฝาน ทหารม้าสิบแปดแห่งตระกูลซื่อเองก็หยิบคันธนูขึ้นมาเช่นกัน ประทับเล็งพร้อม มุ่งเป้าไปยังหนานหลิงจิ่นฝาน
ไม่ได้มากมายอะไร มีแค่คันธนูเพียงแค่สิบแปดอันเท่านั้น ลูกธนูอีกห้าสิบสี่ดอก แต่ทุกดอกนั้นเล็งไปที่ร่างของหนานหลิงจิ่นฝานซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า หากหนานหลิงจิ่นฝานกล้าปล่อยลูกธนูในมือของเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นเป้าซ้อมธนู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...
ตอนที่ 1425 หายไปค่ะ...