นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1264

สรุปบท บทที่ 1264 ฤกษ์งามยามดี, ทำให้เจ้าเป็นเป้าซ้อมธนู: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อ่านสรุป บทที่ 1264 ฤกษ์งามยามดี, ทำให้เจ้าเป็นเป้าซ้อมธนู จาก นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บทที่ บทที่ 1264 ฤกษ์งามยามดี, ทำให้เจ้าเป็นเป้าซ้อมธนู คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายInternet นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย อาช้าย อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

แน่นอน ประตูเมืองหนานหลิงแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเข้าไป แต่การที่เข้าไปเช่นนี้มันจะน่าอับอายเกินไปหรือเปล่า คนที่เย่อหยิ่งอย่างเสด็จอาเก้า จะยอมให้หนานหลิงหยามเกียรติได้อย่างไร

หนานหลิงจิ่นฝานเอ่ยปากขอโทษ เสด็จอาเก้าไม่ได้สนใจคำขอโทษพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงพูดอย่างเหน็บแนมผ่านผ้าม่านบนรถม้าออกมา “ข้าได้เฝ้าดูดวงดาวในยามค่ำคืน ทำนายออกมาว่าเข้าเมืองในวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดี แต่เวลานี้มันได้ล่วงเลยฤกษ์งามยามดีไปแล้ว และข้าก็คงทำได้เพียงรอให้ฤกษ์งามยามดีมาถึง”

ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ วันนี้เขายังไม่เข้าเมือง ส่วนจะเข้าเมืองวันไหนก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา และมันก็เป็นการบอกกับหนานหลิงจิ่นฝานไปพร้อมกันว่าเวลานี้เขามาถึงหนานหลิงแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน

หนานหลิงจิ่นฝานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้าคิดมาตลอดว่าเสด็จอาเก้านั้นเป็นคนนำพาชีวิตด้วยปัญญา คิดไม่ถึงว่าจะงมงายกับเรื่องพวกนี้ด้วย”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อ และบังเอิญว่าวันนี้ข้าอยากจะเชื่อในเรื่องพวกนี้บ้าง” เสด็จอาเก้าไม่สนใจคำเย้ยหยันของหนานหลิงจิ่นฝาน เขาออกคำสั่งกับลูกน้องของเขา “ไป!”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นหนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย และคนที่เสด็จอาเก้าพามา ทุกคนต่างภักดีต่อเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก รวมถึงแต่ทหารม้าสิบแปดแห่งตระกูลซื่อ แม้พวกเขาจะมาอยู่ภายใต้การปกครองของเสด็จอาเก้าเพียงแค่ชั่วคราว แต่เมื่อเสด็จอาเก้าออกคำสั่ง พวกเขาก็ปฏิบัติในทันที ไม่เห็นทหารม้าหุ้มเกราะของหนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

การกระทำดังกล่าวทำให้หนานหลิงจิ่นฝานโกรธเป็นอย่างมาก หนานหลิงจิ่นฝานก็เป็นคนทำอะไรสุดโต่ง เป็นคนเลือดร้อนแต่เดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันอีกต่อไป เขาจึงโบกมือ กัดฟันและตะโกนออกมาว่า “เชิญเสด็จอาเก้าเข้าเมือง”

“พ่ะย่ะค่ะ” คนที่หนานหลิงจิ่นฝานพามา เข้าใจคำว่า “เชิญ” จากปากของหนานหลิงจิ่นฝานเป็นอย่างดี แต่ละคนหยิบดาบและก้าวออกมาด้านหน้า

“ข้าบอกแล้ว มันเลยเวลาฤกษ์งามยามดีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องนองเลือด” ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะพูดกับตัวเอง แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือดอันเยือกเย็น ทำให้องครักษ์ที่อยู่รอบกายของเขาต่างมีร่างกายสั่นเทา

เมื่อเสด็จอาเก้าพูดประโยคดังกล่าวจบ เขาก็กล่าวออกมาอย่างเฉยเมยว่า “ฆ่า”

คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือด เสด็จอาเก้าพูดออกมาอย่างแผ่วเบา หากพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ คงคิดว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นผิดไป

ฆ่า!

นายท่านออกคำสั่งมาแล้ว มีสาเหตุอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องยั้งมือ นอกจากองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเพียงไม่กี่คน คนอื่น ๆ ก็ชักดาบออกมา เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

เคร่ง......เสียงดาบปะทะกัน ประกายไฟเกิดขึ้นเป็นชุด ๆ ดวงตาของหนานหลิงจิ่นสิงที่จับจ้องความร้อนแรงที่เกิดขึ้นเบิกกว้าง เขาแอบสาปแช่งอยู่ในใจ และเรียกทหารที่คอยเฝ้าประตูมาพบทันที

เขาไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยหนานหลิงจิ่นฝาน แต่เขาต้องการหยุดความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้

เสด็จอาเก้าเสด็จมายังหนานหลิงตามคำเชิญ เดิมทีพวกเขาที่เป็นองค์ชายก็ควรออกมาทำการต้อนรับ แค่ไม่ออกมาต้อนรับก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับเกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายที่หน้าประตูเมือง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หนานหลิงจิ่นสิงส่งคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปหยุดการต่อสู้ และส่งคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปรายงานกับจักรพรรดิในพระราชวัง

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้อยากจะปกปิดอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้

แต่สายน้ำที่ห่างไกล ไม่อาจช่วยให้เปลวไฟดับลงได้ ในตอนที่ทหารเฝ้าประตูเมืองมาถึง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กันไปแล้ว แม้ว่าคนทางฝั่งของเสด็จอาเก้าจะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็ปลิ้นปล้อนและไม่ธรรมดา ทหารม้าสิบแปดและทหารคนสนิทปกป้องอยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้า ล้อมรอบเป็นวงกลมหลายวง ไม่ยอมปล่อยให้ทหารของหนานหลิงจิ่นฝานเข้ามากล้ำกราย

แม้ว่าคนของหนานหลิงจิ่นฝานมีจำนวนมาก แต่ขอบเขตในการต่อสู้มีเพียงเท่านี้ คนของเสด็จอาเก้าล้อมรอบเป็นวงกลม พวกเขาไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ พวกเขาทำได้แค่รุกหน้าไปทีละคนเหมือนกับกำลังยกทัพบุกโจมตีเมือง

ด้วยเหตุนี้ หนานหลิงจิ่นฝานไม่มีทางทำอะไรเสด็จอาเก้าได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และคนของเมืองจักรพรรดิก็คงไม่มอบเวลาให้กับหนานหลิงจิ่นฝานมากมายนัก

“เสด็จอาเก้า เจ้าคนน่ารังเกียจ” ทหารเฝ้าประตูเมืองมาถึงแล้ว แต่คนของหนานหลิงจิ่นฝานยังไม่สามารถฝ่าวงล้อมนอกสุดเข้าไปได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

“หยิบธนูมาให้ข้า” หนานหลิงจิ่นฝานรู้ว่าเขามีเวลาไม่มาก ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองดู

หากสามารถสังหารเสด็จอาเก้าได้ก็คือดี แต่ถ้าสังหารไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ทำให้เสด็จอาเก้าได้รู้ว่า ที่นี่คือดินแดงหนานหลิง ไม่ใช่ที่ที่เสด็จอาเก้าจะเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า

ในตอนที่คันธนูถึงมือของหนานหลิงจิ่นฝาน ทหารม้าสิบแปดแห่งตระกูลซื่อเองก็หยิบคันธนูขึ้นมาเช่นกัน ประทับเล็งพร้อม มุ่งเป้าไปยังหนานหลิงจิ่นฝาน

ไม่ได้มากมายอะไร มีแค่คันธนูเพียงแค่สิบแปดอันเท่านั้น ลูกธนูอีกห้าสิบสี่ดอก แต่ทุกดอกนั้นเล็งไปที่ร่างของหนานหลิงจิ่นฝานซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า หากหนานหลิงจิ่นฝานกล้าปล่อยลูกธนูในมือของเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นเป้าซ้อมธนู

ทหารของหนานหลิงไม่พอใจ ยกดาบขึ้นมาเตรียมที่จะโจมตี แต่ถูกหนานหลิงจิ่นสิงห้ามเอาไว้ “หลีกทาง”

คราวนี้หนานหลิงจิ่นฝานไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด เพียงแค่จ้องมองไปที่หนานหลิงจิ่นสิงด้วยสายตาที่ไม่พอใจเท่านั้น

การพบกันครั้งนี้ เขาเป็นฝ่ายแพ้!

หนานหลิงจิ่นสิงไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย หลังจากส่งเสด็จอาเก้าด้วยสายตา เขาก็กลับขึ้นไปบนหลังม้าและกลับเข้าเมือง

เรื่องราวทั้งหมดมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว แถมยังมีพยานเห็นเหตุการณ์อีกตั้งมากมาย หากเขาไม่เขาไปในพระราชวังเพื่อรายงานเรื่องของหนานหลิงจิ่นฝาน เช่นนั้นการรอคอยอยู่หน้าประตูของเสด็จอาเก้ากว่าหนึ่งชั่วโมงก็คงสูญเปล่า

เสด็จอาเก้าไม่ได้เข้าเมือง และไม่ได้ไปไหนไกล เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แถวนั้น และเหล่าทหารเกือบร้อยคนของเขาก็เข้าไปขออาศัยอยู่ในบ้านของเหล่าประชาชน

จักรพรรดิหนานหลิงรู้เรื่องนี้ เขาได้ออกพระราชโองการทันที เป็นพระราชโองการกึ่งขอโทษกึ่งข่มขู่ ให้เสด็จอาเก้าเสด็จเข้าไปในเมืองในวันรุ่งขึ้น และรับประกันว่าเรื่องราวเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

เสด็จอาเก้ารับพระราชโองการของจักรพรรดิแห่งหนานหลิง รอยยิ้มแห่งความเย้ยหยันปรากฏออกมา ไม่แม้แต่จะมองท่าทางแห่งความเขินอายของผู้ขุนนางผู้มาส่งข่าว หันหลังและเดินกลับเข้าห้องไป

ขุนนางที่มาส่งข่าวเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผาก จากนั้นก็ถามออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ทหารคนสนิทกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ท่านอ๋องของข้าหมายความว่า เขาจะเข้าเมืองเมื่อใด ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ”

ทหารคนสนิททิ้งประโยคนี้ไว้ก็เดินตามหลังเสด็จอาเก้าเข้าไป ปล่อยขุนนางของหนานหลิงไว้ด้านนอก ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว......

เสด็จอาเก้ากล้าข่มขู่องค์ชายแห่งหนานหลิงหน้าประตูเมืองหนานหลิง แล้วจะไม่กล้าสังหารพวกเขาได้อย่างไร!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ