นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1341

ฝู่หลินกำลังหดหู่ใจ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้อง เขาก็พูดออกมาด้วยความโกรธ “ข้าบอกว่า จับตัวบัณฑิตพวกนี้ไปให้หมด สืบหาตัวตนและข้อมูลของพวกเขาอย่างละเอียด ส่งไปยังสำนักบัณฑิต ให้สำนักบัณฑิตลบชื่อของพวกเขาออก

นอกจากนั้น บันทึกเรื่องราวความผิดที่พวกเขาทำลงไปในสมุด รายงานไปยังทุกหัวเมือง คนพวกนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสอบอีกตลอดไป ห้ามเป็นขุนนาง และลูกหลานของพวกเขาก็ห้ามเป็นขุนนางอีกสามชั่วอายุคน”

ท้าทายกฎหมาย รวมกลุ่มกันเพื่อสร้างความวุ่นวาย เช่นนั้นชีวิตนี้ของพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้เป็นขุนนาง ชีวิตนี้อย่าได้หวังจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีชื่อเสียง!

ความฝันอันสูงสุดของบัณฑิตคือการสร้างชื่อเสียงขึ้นมาด้วยความรู้ของตนเอง หวังว่าในอนาคตจะได้กลับไปยังบ้านเกิดพร้อมกับอาชีพและความมั่นคง คำพูดนี้ของฝู่หลินคือการตัดอนาคตของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ตัดอนาคตครอบครัวและตระกูลของพวกเขา

คนที่สร้างความวุ่นวายในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจากตระกูลยากจน เป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอก ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของราชวัง และไม่มีผู้ใหญ่มาคอยให้คำแนะนำ จึงถูกคนอื่นล่อลวงและหลอกใช้ง่าย ๆ เช่นนี้ คิดว่าสามารถใช้โอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ และโค่นล้มผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าได้

กว่าจะสร้างบัณฑิตขึ้นมาได้สักหนึ่งคน หลายครอบครัวต้องขายลูกชายและลูกสาวทั้งหมด คำพูดประโยคนี้ของฝู่หลินคือการทำลายอนาคตของพวกเขา มันทุกข์ทรมานและสาหัสเสียยิ่งกว่าการเอาชีวิตของพวกเขาเสียอีก

บัณฑิตพวกนี้เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดบนร่างกาย แต่ละคนคุกเข่าลงพื้นด้วยความหวาดกลัว ก้มหัวลงไม่ยอมหยุด “ใต้เท้า ได้โปรด ได้โปรดปล่อยพวกข้าไปด้วยเถิด พวกข้าผิดไปแล้ว โทษที่สร้างปัญหาให้กับเสด็จอาเก้าควรค่าแก่ความตาย แต่ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ได้แก่เมตตาต่อบัณฑิตที่ไร้ชื่อเสียงและยากจนอย่างพวกเขา ทิ้งหนทางรอดไว้สักทางด้วยเถิด”

“ใต้เท้า ครอบครัวของข้าเต็มไปด้วยคนแก่ชรา แถมยังมีเด็กเล็กอีกไม่น้อย ท่านแม่พยายามมาทั้งชีวิต อยากให้ข้าได้ใช้ความรู้ในการสร้างชื่อเสียงและความมั่นคง ใต้เท้า ขอใต้เท้าช่วยเมตตา ปล่อยพวกข้าไปด้วยเถิด” เหล่าบัณฑิตร้องไห้ออกมาอย่างน่าอนาถ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

แต่น่าเสียดาย ฝู่หลินไม่ใช่คนที่จะมาใจอ่อนเพราะความน่าอนาถของพวกเขา “เวลานี้พวกเจ้าเพิ่งมาคิดถึงความสำคัญของครอบครัว เหตุใดก่อนที่จะสร้างเรื่องถึงไม่ไตร่ตรองผลที่ตามมาให้ดีเสียก่อน ในเมื่อรู้ว่าตนเองแบกรับความหวังของครอบครัวไว้ ก่อนจะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองถึงครอบครัวเป็นอันดับแรก ตอนนี้เพิ่งมารู้ตัวว่าทำให้ครอบครัวต้องผิดหวัง ไม่คิดว่ามันสายเกินไปหน่อยอย่างนั้นหรือ?”

ใบหน้าของฝู่หลินมืดมน เห็นรถม้าที่กำลังเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้า เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ทำไม? พวกเจ้ายังคิดที่จะขวางทางของเสด็จอาเก้าอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ไม่อยากให้เสด็จอาเก้าเข้าเมือง?”

เนื่องจากเป็นคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อครอบครัวเช่นกัน ฝู่หลินจึงอยากที่จะช่วยเหลือคนพวกนี้ แต่เขาก็เข้าใจดี ด้วยนิสัยและความคิดของคนพวกนี้ แม้ว่าจะเข้าทำงานในพระราชวัง พวกเขาก็ไม่มีทางไปได้สวย เมื่อเป็นขุนนางแล้วจะต้องช่วยเหลือประชาชน คนพวกนี้ไม่คุ้มค่ากับการช่วยเหลือของเขา

“ไม่กล้า ไม่กล้า ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว” พูดจบบัณฑิตพวกนี้ก็ปลีกตัวออกไปสองข้างทาง หลีกทางให้กับรถม้าของเสด็จอาเก้า แต่ก็ยังตะโกนร้องขอความเมตตาออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

มีเลือดไหลอยู่บนพื้น รถม้าของเสด็จอาเก้าเหยียบคราบเลือด ตรงเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ

ส่วนบัณฑิตที่สร้างความวุ่นวายเหล่านี้ ต่อให้ก้มหัวอยู่นอกประตูเมืองก็ไม่มีใครสนใจพวกเขา ฝู่หลินออกคำสั่งอย่างไร้ความปรานี ให้จับคนพวกนี้ไปขัง

เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนรถม้า สายตาของนางสงบนิ่งราวกับพื้นน้ำ ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

เมื่อได้ยินคำว่า “ข้าเกิดมาด้วยฐานะอันสูงส่ง” ของเสด็จอาเก้า เสียงอันลุ่มลึกของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัวของเฟิ่งชิงเฉิน “ลูกสาวของข้าเกิดมาด้วยสถานะอันสูงศักดิ์ ไม่มีใครในโลกนี้อาจเปรียบได้”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าประโยคดังกล่าวนี้หมายถึงนาง แต่ตัวตนของนางนั้นพิเศษมากจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

แม่ของนางคือทายาทของโจรสลัดแห่งตระกูลลู่ มันก็ไม่ได้มีสถานะที่สูงศักดิ์มากมายอะไร เช่นนั้นพ่อของนางล่ะ? นางเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? หากนางเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้า เช่นนั้นนางจะมีโอกาสได้เล่าเรียนได้อย่างไร?

เฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน นางรู้สึกว่าตนเองพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่นางก็รู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิดเหลวไหล เหมือนกับตอนเด็ก ๆ ที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตนเองเป็นใคร และเอาแต่เพ้อฝันว่าพวกเขาจะมารับนางกลับไปไม่มีผิด

เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า ส่ายหน้าสลับกันไปมา เสด็จอาเก้าเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียง เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ เขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่รู้ว่าหากถามเฟิ่งชิงเฉินออกไปตอนนี้ นางจะต้องถามเขากลับมาเป็นแน่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ