นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1384

สรุปบท บทที่ 1384 กลยุทธ์ทุกข์กาย,เข้าไปจวนเฟิ่งไม่ได้: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปตอน บทที่ 1384 กลยุทธ์ทุกข์กาย,เข้าไปจวนเฟิ่งไม่ได้ – จากเรื่อง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

ตอน บทที่ 1384 กลยุทธ์ทุกข์กาย,เข้าไปจวนเฟิ่งไม่ได้ ของนิยายInternetเรื่องดัง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดยนักเขียน อาช้าย เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเห็นลั่วอ๋องที่นอนอยู่บนเตียง ร่างกายซูบผอมเหมือนกิ่งไม้ ดูเหมือนไม่มีชีวิตเลย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตัวเธอจะขำก็ขำไม่ออก จะให้ดีใจยิ่งไม่สามารถทำได้เลย ตัวเธอไร้ซึ่งความรู้สึกหลังจากที่ได้แก้แค้นแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินสีหน้าดูสงบนิ่ง แต่ทงจือและทงเหยาผู้หญิงสองคนนี้ไม่สามารถฝืนทนได้เมื่อเห็นคนชั่วอย่างลั่วอ๋อง พวกเธออยากจะใช้ดาบฟันเขาให้ตายในทันที ถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช้สายตาหยุดพวกเธอสองคนไว้ เกรงว่าทั้งสองคนนี้จะอาจจะกระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไปจริง ๆ

เฟิ่งชิงเฉินก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูอาการของลั่วอ๋อง...

สาเหตุที่ลั่วอ๋องหมดสติไม่รู้สึกตัวนั้น สาเหตุมาจากเลือคคั่งที่ท้ายศรีษะ เฟิ่งชิงเฉินตรวจเช็คอาการแล้วพบว่าไม่ได้รุนแรงมากนัก ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์หลวง อาการเลือดคั่งก็จะค่อยๆ สลายหายไปเอง หากว่าหมอหลวงทำการรักษาเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าลั่วอ๋องก็จะฟื้นสติเอง แต่ว่า...

โลกนี้ช่างโหดร้ายจริง ๆ ลั่วอ๋องหมดอำนาจแล้ว จะมีใครอยากจะเหลียวแลเขาอีก

ลั่วอ๋องได้กระทำความผิด จวนลั่วอ๋องก็ไร้ซึ่งผู้นำ ผู้คนที่เคยรับใช้เขาก็ถูกฮ่องเต้ขับไล่ออกไปหมด ในสถานการณ์เช่นนี้แพทย์หลวงที่ถูกส่งมารักษาลั่วอ๋องนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นแพทย์หลวงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักหมอหลวง อย่าไปพูดถึงเรื่องฝีมือในการรักษาเลยว่าจะดีหรือไม่ แม้กระทั่งยาที่ให้ลั่วอ๋องก็ยังลดลงไปครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ

จากสภาพการณ์เช่นนี้ อาการของลั่วอ๋องไม่ได้แย่ลงก็ถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว

ตามหลักการแล้ว วิธีรักษาลั่วอ๋องที่ผลเร็วที่ดีที่สุดก็คือการผ่าตัด อาการเลือดคั่งในสมองของลั่วอ๋องนั้นเพียงแค่ต้องเจาะและระบายเลือดคั่งออกมาเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่มือซ้ายของเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เรื่องผ่าตัดสมองไม่ต้องไปคิดถึงมันเลย

เฟิ่งชิงเฉินหยิบยาที่เธอเตรียมมาก่อนหน้าออกมาจากกระเป๋ายาแล้วส่งให้องค์หญิงอันผิง ให้องค์หญิงอันผิงป้อนยาลั่วอ๋องตามขนาดยาที่เธอกำหนดไว้ให้

แม้ว่าการให้ยาจะเห็นผลช้า และอาจจะมีผลข้างเคียงของยาหลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้มันก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้น

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าขอขอบคุณเจ้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากที่ข้าเข้าไปในวังแล้วข้าจะไปทูลขอเสด็จพ่อไม่ต้องส่งเจ้าไปเป่ยหลิงกับข้า” องค์หญิงอันผิงถือยาอยู่ในมือ ดวงตาของเธอแดงก่ำอีกครั้ง

ครั้งนี้มันเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งจริงๆ

ในช่วงเวลานี้เธอไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย พวกแพทย์หลวงและหมอเมื่อได้ยินว่าจะต้องรักษาลั่วอ๋องต่างก็ไม่ยอมพบเธอ ถ้าเธอไม่ไร้ซึ่งหนทาง เธอก็คงไม่มาขอความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่

เป็นที่รู้ดีว่าเธอรู้สึกกดดันแค่ไหนเมื่อต้องไปขอร้องเฟิ่งชิงเฉิน

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าก็อยากจะไปเป่ยหลิงอยู่พอดี” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ

องค์หญิงอันผิงคงคิดว่าเธอยังคงเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สูงศักดิ์ผู้นั้นอยู่อีกหรือ หากว่าเธอไปทูลขอฮ่องเต้แล้วฮ่องเต้ฟังคำของเธอ ฟ้าคงทล่มลงมาเป็นแน่แท้ ยิ่งไปกว่านั้น...

หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้แสดงทีท่าว่ายินยอมแล้วล่ะก็ มีหรือฮ่องเฮาจะกล้ารับสั่งให้เธอแต่งงานไปเป่ยหลิง

องค์หญิงอันผิงคิดว่าเฟิงชิงเฉินคงกลัวเธอจะกลั่นแกล้ง เธอจึงฝืนยิ้ม: "เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้ดีกับข้าเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่ถ้าหากข้าไปทูลขอเสด็จพ่อ พระองค์จะทรงยินยอมอย่างแน่นอน นั่นก็เป็นเพราะ เป็นเพราะว่า....ข้ากำลังจะแต่งงานไปเป่ยหลิง"

องค์หญิงอันผิงเช็ดน้ำตา ในใจกลับเต็มไปด้วยความเย็นเยือก

เฟิ่งชิงเฉินน่าสงสารที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ แต่สภาพเธอในตอนนี้น่าสงสารยิ่งกว่าเฟิ่งชิงเฉินเสียอีก ในใจของเสด็จพ่อที่มีต่อเธอนั้นมีค่าเพียงแค่เป็นเครื่องบรรณาการเท่านั้น

“ไม่มีความจำเป็น ข้าเองอยากที่จะไปเป่ยหลิงอยู่แล้ว องค์หญิงคงคิดว่ากระหม่อมจะกลัวองค์หญิงกลั่นแกล้ง พระองค์ถึงได้พูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? องค์หญิงอันผิง.....ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาด้วยความหงุดหงิด ไม่อยากจะสนใจองค์หญิงอันผิง จึงหันหลังแล้วเดินออกไป

เมื่อองค์หญิงโดนเฟิ่งชิงเฉินเมินใส่ ในใจก็รู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก เดิมทีอยากจะด่าว่าเฟิ่งชิงเฉินสองสามคำ แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอยังต้องขอความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ จึงอดทนกล่ำกลืนไว้ เพียงแค่บ่นพึมพำสองสามคำ : "เจ้าก็ยังคงเป็นคนที่ข้าไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี”

ข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้าชอบเหมือนกัน

“เฮ้ เจ้ารอข้าก่อน” เมื่อองค์หญิงอันผิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปแล้ว เธอก็รีบไล่ตามออกไปทันทีและถามอย่างไม่เกรงใจว่า: "เฟิ่งชิงเฉินข้ารู้ว่าในมือของเจ้ามีตราประจำตัวของเสด็จอาเก้าอยู่ พวกเขาไม่กล้าขัดเจ้า ถ้าเจ้าจะใช้ตราประจำตัวออกคำสั่งให้พวกเขาช่วยดูแลเสด็จพี่ของข้าดี ๆ ได้หรือไม่ ?”

แม้ว่าจะเป็นการขอร้องให้ช่วย แต่น้ำเสียงและท่าทางไม่เหมือนคนที่จะมาขอร้องคนอื่นให้ช่วยเลย คงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนคุยง่าย องค์หญิงอันผิงถึงได้ได้ใจเช่นนี้

ผู้หญิงคนนี้ชอบให้ใช้ไม้แข็ง

……

หลังจากนั้น องค์หญิงอันผิงก็เงียบไปและไม่มากวนใจเฟิ่งชิงเฉินอีก แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรู้ว่าองค์หญิงอันผิงได้ไปทูลขอฮ่องเต้พระราชทานนางกำนัลดี ๆ ให้เธอสักคนหนึ่ง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ถูกรังแกเมื่อเธอไปอยู่ที่เป่ยหลิง แต่อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ก็ได้ปฏิเสธคำขอนั้น

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการกระทำขององค์หญิงอันผิง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกโกรธและตลกในเวลาเดียวกัน เป็นไปได้ไหมที่องค์หญิงอันผิงคิดว่าหากเธอได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ เธอจะรู้สึกขอบคุณ และไม่ถือสาเอาความกับเรื่องในอดีตอีก แล้วอุทิศตนให้กับองค์หญิงอันผิงและลั่วอ๋อง?

เฟิ่งชิงเฉินเธอไม่ใช่คนแบบนั้น และเธอก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นด้วย

เมื่อลองเปลี่ยนมุมมอง หากว่าเธอตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนลั่วอ๋อง องค์หญิงอันผิงจะปล่อยเธอไปหรือจะดูแลเธอหรือไม่?

แน่นอนไม่.....

สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็ยังไม่มีร่องรอยของจั่วอั้น ฝั่งโต้วโต้วก็ไม่มีร่องรอยเช่นกัน หวังจิ่นหลิงมีแวะเวียนมาหาเฟิ่งชิงเฉินที่จวนเฟิ่งบ้างเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้อยู่นานเพียงแค่พูดคุยและดื่มน้ำชาแล้วก็กลับ

ในช่วงนี้ซูเหวินชิงได้แต่จัดส่งสิ่งของไปที่จวนเฟิ่งเกือบทุกวัน มีทั้งอัญมณีเม็ดโต ภาพวาด อาหาร เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งของที่มีค่า แต่อย่างไรก็ตามเฟิ่งชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะมองมัน เธอขอให้พ่อบ้านเก็บมันออกไป

หลังจากบำรุงดูแลเธออย่างดีมาตลอดหนึ่งเดือน เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่มีทีท่าว่าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเลย แต่ความหม่นหมองระหว่างคิ้วของเธอได้หายไปแล้ว และทั้งตัวของเธอก็เปล่งรัศมีแห่งความสงบสุข ไม่เหมือนเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีอีกแล้ว พ่อบ้านทั้งดีใจและเป็นกังวลใจ

ดีใจที่เฟิ่งชิงเฉินโตเป็นผู้ใหญ่ที่ยิ่งอยู่ยิ่งสุขุมมากขึ้น แต่ก็กังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินเธฮอายุยังน้อยแต่จิตใจของเธอนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าผู้ใหญ่หลายเท่านัก

เสด็จอาเก้าเร่งขี่ม้ามาตลอดทาง แต่เมื่อเขามาถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยฝุ่น บนเนื้อตัวก็เริ่มมีกลิ่นเหม็น ถ้าเป็นเสด็จอาเก้าคนก่อนคงไม่สามารถทนสภาพเช่นนี้ได้แน่ แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ทนได้แถมยังมีความมั่นใจที่จะไปพบเฟิ่งชิงเฉินทั้งในสภาพเช่นนี้อีกด้วย แต่เขา...

กลับถูกคนขัดขวางไม่ให้เข้าไปด้านในจวนเฟิ่ง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ