นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1412

สรุปบท บทที่ 1412 ไปคุ้มกัน,ไม่เอาไหนเลย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปตอน บทที่ 1412 ไปคุ้มกัน,ไม่เอาไหนเลย – จากเรื่อง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

ตอน บทที่ 1412 ไปคุ้มกัน,ไม่เอาไหนเลย ของนิยายInternetเรื่องดัง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดยนักเขียน อาช้าย เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่ถูกฝู่หลินค้นพบที่อยู่ของเขา หลานจิ่วชิงไม่ได้ออกจากเมืองตามที่วางแผนไว้แต่เดิม แต่กลับเปิดประตูเข้าไปในห้องลับที่จวนซู

“จิ่วชิง ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ? เจ้าไม่ได้ออกไปนอกเมืองเพื่อตามหาเฟิงชิงเฉินหรอกเหรอ?” ซูเหวินชิงคิดว่าเขาจำผิดคนจึงได้ขยี้ตาของเขา

“ข้าพบเข้ากับฝู่หลิน เขากำลังตรวจสอบสถานะของข้า” หลานจิ่วชิงหลับตาเพื่อเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าของเขา

ซูเหวินชิงขมวดคิ้วและรีบซักถาม: "ฝู่หลินตรวจพบอะไรหรือไม่"

"ไม่ เขาแค่สงสัย" เพื่อที่จะขจัดความสงสัยของฝู่หลิน เขาจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้เด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม

“เพื่อความปลอดภัย เจ้าอย่าออกไปจากเมืองจะดีกว่า ส่วนเรื่องของเป่าเอ๋อ เจ้าเขียนจดหมายถึงเฟิ่งชิงเฉิน แล้วข้าจะให้คนไปส่งจดหมายให้เฟิ่งชิงเฉินเอง เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นจดหมายของเจ้า ยังไงเธอก็จะพยายามรักษาเป่าเอ๋ออย่างดีที่สุดอยู่แล้ว” ซูเหวินชิงค่อนข้างรู้จักเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินได้รับปากไว้เธอจะทำตามนั้นอย่างแน่นอน

“ไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องไปพบเฟิ่งชิงเฉิน ข้ามีบางอย่างที่ต้องบอกเธอด้วยตนเอง” มีเรื่องบางเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมบอกเสด็จอาเก้า แต่กับเขาเธอจะบอก

ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉิน เขาเป็นคนดีที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เพราะเขาซ่อนตัวอยู่ในที่มืดและจะไม่มีทางเปิดเผยเรื่องราวของเธอ

“แต่หากเจ้าออกจากเมืองหลวงในเวลานี้ ด้วยสติปัญญาของฝู่หลินเขาจะต้องคาดเดาเรื่องราวได้อย่างแน่นอน” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเสี่ยง แม้ว่าฝู่หลินจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าฝู่หลินจะไม่หักหลังเพื่อผลประโยชน์ที่เยอะกว่า

ความภักดีของฝู่หลินนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเสด็จอาเก้า หากให้ฝู่หลินค้นพบว่าเสด็จอาเก้าคือหลานจิ่วชิง ไม่แน่ว่าฝู่หลินอาจจะเปลี่ยนใจหักหลังเสด็จอาเก้าก็ได้

ดาวจักรพรรดิ์เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าผู้ครองดาวจักรพรรดิสิ้นชีวิตลง ดวงดาวก็จะมืดสลัวลง หรือมีเจ้าครองดาวจักรพรรดิคนใหม่ขึ้นมาแทน

“ในเมื่อที่มืดทำไม่ได้ งั้นก็ลงมือทำในที่สว่างแล้วกัน ” หลานจิ่วชิงยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตาของเขาเป็นประกาย

วันรุ่งขึ้น เสด็จอาเก้าได้ขอพระราชโองการให้เขาเป็นผู้คุ้มกันส่งตัวจื่อลั่วไปยังเจียงเป่ย เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เหมือนชุนอ๋องเกิดขึ้นอีก

เดิมทีฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเสด็จอาเก้ากล่าวถึงเรื่องของชุนอ๋อง ทำให้ฮ่องเต้เกิดความลังเล แม้ว่าตอนนี้พระองค์จะเกลียดตงหลิงจื่อลั่วแค่ไหน แต่พระองค์ก็ยังไม่อยากให้เขาตายอย่างอนาถ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังเป็นลูกชายของพระองค์

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ บรรดาขุนนางก็เริ่มพูดสนับสนุนเสด็จอาเก้า ประเด็นสำคัญอยู่ที่เสด็จอาเก้าเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์และความชอบธรรม และกล่าวถึงฮ่องเต้มีความเมตตาและชอบธรรมอย่างไร เกลี่ยกล่อมจนฮ่องเต้เริ่มคลอยตามกับสิ่งที่พวกเขาพูด และเจียงเป่ยยังเป็นสถานที่ที่กันดารยากเข็ญ แม้ว่าเสด็จอาเก้าไปด้วยก็คงไม่เป็นอะไรเพราะเขาไม่สามารถทำอะไรได้

ฮ่องเต้ไม่ทรงเห็นด้วยในทันที แต่หลังจากเสร็จสิ้นราชกิจแล้วพระองค์ก็เรียกคนสนิทมาถาม ต่างก็ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เสด็จอาเก้าจะไปเจียงเป่ย พวกเขาคิดว่าเสด็จอาเก้าต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในการสถาปนารัชทายาทแน่ ๆ และหลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว พระองค์ก็ทรงก็ยินยอม

เสด็จอาเก้าส่งตัวลั่วอ๋องไปยังเจียงเป่ย ระยะเวลาในการเดินทางไปกลับจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนครึ่ง ในช่วงเวลานี้สามารถจัดการอะไรได้หลายอย่าง หลายคนคงคิดว่าเสด็จอาเก้านั่นเสียผลประโยชน์มากที่เลือกจากไปในเวลานี้

เป็นที่รู้กันว่าเรื่องของลั่วอ๋องและชุนอ๋องนั้นทำให้มีตำแหน่งว่างมากมายในราชสำนัก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะส่งคนเข้าไปดำรงตำแหน่ง แต่เสด็จอาเก้าเลือกที่จะสละโอกาสนี้ไป

เสด็จอาเก้าไม่สนใจว่าคนภายนอกจะคิดอย่างไร เขาแค่สั่งให้คนของเขาเตรียมตัวออกเดินทางอย่างรวดเร็ว สามวันให้หลังให้ออกเดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมพาตงหลิงจื่อลั่วไปด้วย

แม้ว่าจะเป็นการคุ้มกัน แต่ตงหลิงจื่อลั่วเขายังคงมีสถานะเป็นองค์ชาย ดังนั้นเขาถึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อนักโทษและใส่โซ่ตรวน เพียงแต่ข้างกายของเขาจะมีผู้คุ้มกันเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และคนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา

เสด็จอาเก้าปฏิบัติตามหน้าที่คุ้มกันอย่างเคร่งครัด ตลอดทางไม่ได้พบปะกับตงหลิงจื่อลั่วตามลำพัง ทุกวันเขาเพียงนั่งในรถม้าและแทบไม่มีการติดต่อกับบุคคลภายนอกเลย ยกเว้นทหารส่วนตัวที่เขานำมาด้วย

ในตอนแรกทหารองครักษ์ที่ฮ่องเต้ส่งมาค่อนข้างระมัดระวังเสด็จอาเก้า แต่เมื่อเห็นว่าเสด็จอาเก้าไม่สนใจสิ่งใด พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ แต่พวกเขาก็ไว้วางใจเร็วเกินไป

“ส่งคนไป” เสด็จอาเก้าชี้ไปที่ตงหลิงจื่อลั่วแล้วพูดกับโจรที่อยู่ข้างหลังเขา

“ขอบคุณเสด็จอาเก้าที่ช่วยเหลือเต็มที่” ตงหลิงจื่อลั่วหลับตาลงและดูเหมือนเขากำลังรอความตายอยู่

“ข้าบอกว่าจะเอาชีวิตของเจ้าเมื่อไหร่กัน?” เสด็จอาเก้าพูดอย่างเหยียดหยาม ซึ่งทำให้ตงหลิงจื่อลั่วมีสีหน้าที่สับสน: “เสด็จอาเก้า นี่ท่าน…”

“ยังไงซะองค์ชายเจ็ดแห่งตงหลิงก็จะตายในไม่ช้า ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” เสด็จอาเก้าพูดเหมือนเป็นการตักเตือนอีกทางเหมือนเป็นการสั่งการ

“ท่านจะปล่อยข้าไปงั้นเหรอ? ไม่ต้องแล้ว ท่านฆ่าข้าเสียดีกว่า ข้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป” ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วไม่มีวี่แววส่องประกายเลย ทั้งที่เขายังเป็นชายหนุ่มที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา แต่ในตอนนี้บนตัวเขาเหมือนชายชราที่ไร้ชีวิตชีวาได้แต่เฝ้ารอความตาย

“ไม่เอาไหนเลย ” เสด็จอาเก้าเหลือบมองตงหลิงจื่อลั่วอย่างดูหมิ่น โบกมือให้คนที่อยู่ด้านหลังของเขาชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า และก่อนที่ตงหลิงจื่อลั่วจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ฟาดตงหลิงจื่อลั่วด้วยฝ่ามือของเขา ร่างของตงหลิงจื่อลั่วก็สลมล้มลงไปกับพื้น

“นำเขาออกไป ข้าไม่อยากเห็นเขาอีก” หลังจากที่เสด็จอาเก้าได้มอบหมายภารกิจเสร็จแล้ว เขาก็ขี่ม้าตัวอีกตัวเดินทางไปทางทิศทางตรงกันข้ามกับกลุ่มคนพวกนี้

สำหรับลั่วอ๋อง ถูกคนกลุ่มนี้ส่งตัวไปยังหุบเขาซวนยี ส่วนเรื่องที่เขาต้องไปเผชิญกับอะไรบ้างเมื่อถึงหุบเขาซวนยีนั้นเสด็จอาเก้าไม่สามารถรับประกันได้ อย่างไรเสียสำหรับคนที่อยากจะตายก็ไม่มีใครจะสามารถช่วยเหลือเขาได้

เสด็จอาเก้ามุ่งหน้าเดินทางไปทางทิศใต้ แต่ไม่พบร่องรอยของเฟิ่งชิงเฉินเลย ด้วยความสิ้นหวังเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีบเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก และในที่สุดเขาก็ไปถึงเจียงหนานก่อนเฟิ่งชิงเฉิน

สำหรับเฟิ่งชิงเฉินที่เสด็จอาเก้าตามหาอยู่นั้น เธอกำลังปราบทหารม้าของเฟิ่งลี่โยวอยู่ โดยเธอต้องการพิชิตทหารที่ฮึกเหิมแปดพันนายเหล่านี้ให้อยู่ในกำมือเธอให้ได้!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ