เมื่อได้มาเห็นเสด็จอาเก้าตัวเป็น ๆ ในระยะประชิดเช่นนี้ เกรงว่า ไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นทุระกันดารเช่นไร เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงมีความสุขยิ่งนัก
จากนั้นไม่นาน กลิ่นเนื้องูย่างก็พลันส่งกลิ่นหอมหวนขึ้นมาในทันที เฟิ่งชิงเฉินพลิกมันไปมาด้วยความชำนาญ จากนั้นก็โรยเกลือลงไปบ้างเป็นครั้งคราว แม้ว่าในมือของนางจักมีเนื้องูอยู่ห้าหกไม้ในมือ แต่นางมิได้ย่างให้เนื้อของมันไหม้เกรียมเลยแม้แต่น้อย
ทักษะเช่นนี้ หาได้เรียนรู้ขึ้นภายในสองวันไม่ เสด็จอาเก้าย่อมไม่เชื่อว่า เฟิ่งชิงเฉินจักฟังแต่คำบอกเล่าของท่านพ่อของนางเป็นแน่ ทักษะเช่นนี้ ย่อมหมายถึงการไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าในเขาเป็นเวลานาน ถึงได้มีความชำนาญในการหาน้ำหาอาหารมาให้เขาได้
ถึงกระนั้น เสด็จอาเก้าก็มิคิดจะบีบครั้นอันใด
งูหนึ่งตัว ถูกเข้าไปอยู่ท้องของตงหลิงจิ่วเสียครึ่งหนึ่งแล้ว ตงหลิงจิ่วมิอยากจะยอมรับว่า เฟิ่งชิงเฉินย่างเนื้องูได้อร่อยนัก นั่นเป็นเพราะเขาต้องหิวมากจนเกินไปเป็นแน่
หลังจากกินอิ่มแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยและความหนาวเมื่อครู่ก็ได้อันตธานหายไป อารมณ์ของตงหลิงจิ่วก็ดีขึ้นมานัก ใบหน้าที่ราวกับฟ้าประทาน จึงได้ฉายแววอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน น่าเสียดายนัก หากมิได้สังเกตุดี ๆ ย่อมไม่อาจเห็นมันได้
เฟิ่งชิงเฉินเองก็ได้แต่มองเสด็จอาเก้าอยู่เช่นนั้น ยามที่คิดว่าจะหาเรื่องขึ้นมาพูดคุย ก็ไม่รู้จักคุยเรื่องอันใดดี จึงได้แต่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่เช่นเดิม
ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าจักไม่มีเรื่องอันใดให้พูดคุยกันนั้น แต่บรรยากาศกลับไม่ดูน่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูลงตัวยิ่งนัก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นเช่นนี้ นางจึงมิคิดพูดถึงเรื่องใดให้มันเสียบรรยากาศขึ้นมา
ค่ำคืนที่หนาวเหน็บเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินถึงกับหาวออกมาด้วยความง่วงงุน พร้อมทั้งพยายามสะกัดกั้นอารมณ์ความง่วงของตนเองเอาไว้ จากนั้นจึงลุกขึ้น เพื่อหยิบฟืนใส่เข้าไปในกองไฟ
หาใช่ว่า เฟิ่งชิงเฉินกลัวหนาวไม่ แต่เป็นเพราะว่า หากมีกองไฟอยู่เช่นนี้ สัตว์น้อยใหญ่ย่อมไม่กล้ามาเข้าใกล้พวกเขา เช่นนี้ พวกเขาจักได้ปลอดภัย
ตงหลิงจิ่วพลันลุกขึ้นยืนเช่นกัน พร้อมทั้งหันหลังให้กับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินมิรู้ว่าเสด็จอาเก้าจักทำอันใด จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาและมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยามนั้น ก็พลันได้ยินเสียง "กรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊ง" คล้ายกับเสียงลูกปักกระทบกันดังสนั่นอยู่ในความมืดมิด
เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ยินเช่นนั้น อาการง่วงงุนพลันหายไปในทันที ในมือพลันหยิบปืนขึ้นมา
"เสด็จอาเก้า มีคนกำลังมาเพคะ" เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นเสด็จอาเก้ามิได้มีปฏิกิริยาอันใด ก็พลันพูดขึ้นมา
"อื้ม" ตงหลิงจิ่วพลันส่งเสียงตอบ ดูจากลักษณะท่าทางของเขาแล้ว คงจะรู้ว่า บุคคลที่มาเป็นผู้ใดอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินจึงค่อย ๆ คลายความกังวลใจออกมา พร้อมทั้งเก็บปืนเข้าไปในสาบเสื้อเช่นเดิม แล้วจึงหันไปทางเดียวกับกับตงหลิงจิ่ว เพื่อมองดูว่า ผู้ที่มาเยือนเป็นผู้ใด
ใช้เวลาไม่นาน ก็พลันเห็นแสงไฟที่ริบหรี่ กำลังเข้ามาใกล้ ๆ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นได้ชัดเจนแล้วนั้น ผู้ที่มาเยือนแต่งตัวคล้ายกับสาวใช้ที่ถือโคมไฟเดินอยู่ในวังหลวง อีกทั้ง ด้านหลังของพวกนางนั้น ยังมีสตรีอีกนางหนึ่ง ที่สวมใส่อาภรณ์สีแดง เพียงแค่ได้เห็น ก็รับรู้ได้ว่า นางย่อมเป็นหญิงงามล่มเมืองอย่างแน่นอน
เสียง "กรุ๊งกริ๊ง"นั้น จึงเป็นเสียงลูกปัดที่แขวนไว้ที่เอวของนาง ที่ส่งเสียงทุกครั้งยามที่นางก้าวเดิน แสงจากโคมไฟ พลันส่องมาพวกนางในทันที
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงนั้น บรรยากาศโดยรอบพลันตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมากมาย พร้อมทั้งกลบกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งลงไป
เมื่อก้าวเดินเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เห็นว่า สตรีที่สวมใส่อาภรณ์สีแดงที่อยู่ตรงหน้านั้น คิ้วเรียวสวยได้รูป ดวงตาเรียวเล็กราวกับตาหงส์ ใบหน้าราวกับรูปไข่ โดยรวมแล้ว นางงดงามราวกับภาพวาดยิ่งนัก แต่ทว่า หาใช่ใบหน้าของนางที่งดงามเพียงอย่างเดียว การสวมใส่อาภรณ์ของนางยังสวยได้รูป ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในกายของสตรีนางนี้ช่างไร้ที่ติจริง ๆ
ด้านหลังของนาง ยังมีองครักษ์ที่หน้าเกรงขามอยู่ด้วยเช่นกัน
งดงาม เก่งกาจ เฉลียวฉลาด สูงส่ง เห็นเพียงแค่นี้ก็รับรู้ได้เลยว่า สตรีตรงหน้า หาใช่คนธรรมดาแน่ อีกทั้งยังมิใช่องค์หญิงอันผิงอีกด้วย แล้วจะเป็นคุณหนูบ้านใดได้อีกกัน
เฟิ่งชิงเฉินสามารถสรุปได้เลยว่า สตรีที่อยู่ตรงหน้าทั้งมีฐานะสูงส่งและร่ำรวย อีกทั้ง ในแววตาของนาง ยังปรากฏความรักใคร่ออกมา ทว่า เมื่อเห็นนางที่อยู่ด้านข้างนั้น สตรีนางนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เห็นเพียงแค่นี้ นางก็รับรู้ได้เลยว่า สตรีตรงหน้าชมชอบเสด็จอาเก้า
เมื่อเห็นว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้มีกำแพงกั้นต่อสตรีนางนี้นั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงเข้าได้เป็นอย่างดี ว่าสตรีนางนี้ คือบุคคลที่เสด็จอาเก้ารั้งรออยู่ภายในป่า
เฟิ่งชิงเฉินจึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ
มิรู้ว่าเหตุใด ภายในใจรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ต้องสะกดอารมณ์พวกนี้ลงไป เสด็จอาเก้ามิใช่ของนาง นางไม่มีสิทธิ์ไปหึงหวงเสียด้วยซ้ำ
วินาทีนั้น เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจในสิ่งที่ผู้คนเคยเอ่ยว่า สิ่งที่หน้าเจ็บใจที่สุดมิใช่การหึงหวง แต่เป็นการที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะหึงหวง
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังตกอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกนั้น สายตาที่ชะงักไปครู่หนึ่งของสตรีอาภรณ์สีแดง ก็ยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยนเช่นเดิม เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินก้าวถอยหลังไป สายตาของสตรีนางนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...
ตอนที่ 1425 หายไปค่ะ...