นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 405

"เจ้าว่าอย่างไรนะ? ตระกูลเฟิ่งเป็นพื้นที่ของหลวงและบัดนี้จะถูกเวนคืน?" เฟิ่งชิงเฉินเดิมทีซึ่งอารมณ์ดีอยู่กลับถูกซูเหวินชิงทำลายเสียจนสิ้น

ซูเหวินชิงพยักหน้า วันนี้เขาก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน วันนี้เขาได้เดินทางไปที่จวนเฟิ่งด้วยตนเองและค้นหาในซากปรักหักพังเหล่านั้นอยู่เป็นเวลานาน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็หาไม่เจออะไรเลย ซูเหวินชิงสงสัยว่าหลานจิ่วชิงจะหลอกเขาเล่น และต้องการให้เขาทำงานแก่เฟิ่งชิงเฉินเปล่าๆ แม้ว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก

"ถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่กล่าวว่าจวนเฟิ่งเป็นพื้นที่ของหลวง และบัดนี้โฉนดอยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาต้องการจะยึดกลับ หากว่ากันตามกฎหมาย ชิงเฉินเจ้ามีโฉนดอยู่ในมือหรือไม่ หากมีละก็ พวกเราจึงจะต่อสู้กับทางเจ้าหน้าที่ได้ หากไม่มี......ที่แห่งนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิในการก่อสร้างใหม่"

บัดนี้ซูเหวินชิงปวดหัวมากจริงๆ เขาแอบด่าหลานจิ่วชิงอยู่ในใจ ในเมื่อให้เขาไปสร้างจวนเฟิ่งใหม่แล้วเหตุใดไม่ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อกำลังจะก่อสร้างขึ้นกับเกิดเรื่องเช่นนี้

"โฉนด? ข้าจะมีโฉนดได้อย่างไร? จวนเฟิ่งถูกเผาไหม้วอดวายสิ้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเดิมทีข้ามีโฉนดหรือไม่ ต่อให้มีก็คงไม่อาจหยิบยกออกมาได้" จวนเฟิ่งในครานั้นฝ่าบาทเป็นคนมอบให้ และทางการคงจะมีแผนรับมือไว้อยู่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองโง่เง่าจริงๆ นางเดินทางมาที่นี่ตั้งเนิ่นนานแล้วแต่กลับลืมที่จะเอาโฉนดของจวนเฟิ่งมาไว้ในมือ

ในยุคปัจจุบันหากซื้อบ้านก็จำเป็นต้องมีโฉนดอสังหาริมทรัพย์ และโฉนดที่ดินนี้มีประโยชน์มากกว่าโฉนดอสังหาริมทรัพย์เสียอีก โฉนดอสังหาริมทรัพย์มีอายุได้เพียงเจ็ดสิบปีที่จะใช้งานมัน แต่โฉนดที่ดินสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต

ซูเหวินชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เรื่องนี้เขาไม่อาจกล่าวได้ว่าทางการต้องการหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉิน "หากเป็นเช่นนั้น ในไม่ช้าจวนเฟิ่งแห่งนั้นก็จะกลับไปเป็นของหลวง จากการพระราชทานที่พักอาศัยเมื่อพ่อแม่ของเจ้าตายไปก็สามารถยึดคืนกลับมาได้ การที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ได้ยึดครองกลับมาทันทีนั่นคงเป็นเพราะเห็นแก่เจ้าคือคู่หมั้นของลั่วอ๋อง"

เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง จะว่าไปแล้วทางการก็ปฏิบัติตามกฎหมาย และถ้าว่าตามกฎหมายเหล่านั้นนางก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนนั้นอีกเลย

"ชิงเฉิน หากเจ้าต้องการจะก่อสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่จำเป็นที่ต้องสร้างในที่เดิมนี่ พวกเราไปซื้อที่แห่งใหม่แล้วสร้างจวนขึ้นดีหรือไม่?" ซูเหวินชิง เอ่ยเสนอความคิดเห็นขึ้นมาใหม่ ในสายตาของเขา จวนเฟิ่งแห่งนั้นไม่มีคุณค่าอีกต่อไป

"ไม่ได้ หากว่าเราไปก่อสร้างในที่แห่งใหม่ ที่นั่นยังจะเรียกได้ว่าจวนเฟิ่งอีกหรือ ข้าจะก่อตั้งมันในที่แห่งเดิม" การที่จวนเฟิ่งถูกเผานับว่าเป็นความเจ็บปวดในใจของนางอย่างไม่มีวันลบเลือน หากว่าไม่อาจสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ในที่แห่งเดิมได้ เช่นนั้นนางก็คงจะไม่อาจตอบแทนบิดามารดาของตนได้

นางยังเคยกล่าวไว้ว่า จะสร้างสุสานให้พ่อแม่ของนางใหม่ แต่ผลสรุปว่า......

จวนเฟิ่งได้ถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย

"ชิงเฉิน ที่แห่งนั้นไม่ใช่ของเจ้า นั่นคือที่ของหลวง ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้!" เมื่อซูเหวินชิงกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็แปลกไป แววตาที่มองเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที

"เหวินชิง เจ้าเป็นอะไรไป?" เฟิ่งชิงเฉินถูกซูเหวินชิงมองเสียจนขนลุกขนพอง และรู้สึกว่าแววตาของเขาช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน

ซูเหวินชิงเป็นคนเฉลียวฉลาด เขารีบหันกลับมามองแล้วรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า "ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เฟิ่งชิงเฉินในเมื่อเจ้าต้องการจะสร้างจวนเฟิ่งแห่งใหม่ในที่นั่น ก็ควรจะต้องคิดหาวิธีในการได้โฉนดที่ดินกลับมา"

"ในเมื่อเรื่องนี้เจ้าหน้าที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา เจ้าก็จงไปหาเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ในเมืองหลวงนี้เต็มไปด้วยขุนนางมากมาย เจ้าจงไปสร้างสัมพันธ์กับพวกเขาแล้วให้พวกเขาช่วยเอาโฉนดจวนเฟิ่งมาให้"

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของซูเหวินชิง นั่นก็คือการก่อตั้งจวนเฟิ่งขึ้นใหม่นั้นพบเข้ากับปัญหา คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน เนื่องจากองค์จักรพรรดิคงไม่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ และคนอื่นๆ คงไม่สร้างเรื่องหนักใจให้แก่เฟิ่งชิงเฉินแบบนี้เช่นกัน เนื่องจากคนอื่นนั้นไม่รู้ว่าสำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วจวนเฟิ่งหมีความสำคัญเช่นใด

ซูเหวินชิงช่างเห็นใจเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เสด็จอาเก้าโหดเหี้ยมจริงๆ เขาไม่เคยใจอ่อนกับการจัดการเฟิ่งชิงเฉินเลย

"คงทำได้เพียงเท่านี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องได้โฉนดของจวนเฟิ่งมาให้ได้"

เฟิ่งชิงเฉินยอมรับคำแนะนำของซูเหวินชิงและกำลังคิดว่าจะหาใครเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ดี แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้กลับพบว่า นางดูเหมือนไม่สามารถจัดการได้ หนิงกั๋วกงสัญญาว่าจะช่วยนางเอ่ยถามดู แต่ก็บอกว่านางอย่าได้คาดหวังมากนัก เนื่องจากจวนนั้นไม่ใช่ว่าสามารถซื้อขายได้มีเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจได้มาตามต้องการ

เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้เพียงกล่าวขอบคุณแล้วแอบถอนหายใจ หากว่าบัดนี้หวังจิ่นหลิงอยู่ในเมืองหลวงก็คงดี อย่างน้อยนางยังสามารถเดินทางไปหาให้เขาช่วยเหลือ บัดนี้หวังตจิ่นหลิงไม่อยู่ในเมืองหลวงและนางเองก็จะไปหาตระกูลหวังด้วยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้

เสด็จอาเก้าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว แต่บัดนี้ตัวเขาเองก็เพิ่งจะถูกโจมตีจากฝ่ายตรวจการ หากว่าให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกก็คงจะเป็นการมอบหลักฐานไปให้แก่ฝ่ายตรวจการไม่ใช่หรือ อีกอย่าง......นางไม่อาจเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเสด็จอาเก้าได้

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่เกลียดการร้องขอคนอื่นมากที่สุด เรื่องของจวนเฟิ่งนี้นางไปร้องขอผู้คนจำนวนมากให้ช่วยเหลือ มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่นางไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากเขา

เฟิ่งชิงเฉินและซุ่นเทียนฝู่นับได้ว่ามีบุญคุณต่อกันอยู่เล็กน้อย นางได้ช่วยเหลือคนในซุ่นเทียนฝู่มากมายทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเรื่องนี้ออกมา ใต้เท้าเว่ยก็ทำสีหน้าขมขื่นและปฏิเสธว่าเรื่องนี้เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย ซึ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก ทว่าไม่อาจทำอะไรกับฝ่ายตรงข้ามได้

เดิมทีนางต้องการจะเข้าไปหาลู่เส้าหลินผู้บัญชาการขององครักษ์เสื้อโลหิตในวันต่อมา แต่เมื่อนึกถึงเรื่องจิ้นหยางโหวฮูหยินได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงคิดว่าควรจะไปจวนจิ้นหยางโหวเพื่อรักษาอาการให้แก่คุณหนูใหญ่ตระกูลเวินเสียก่อน

แต่หลังจากตรวจร่างกายคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินพบว่านางสุขภาพแข็งแรง แนะเรื่องบนเตียงเหล่านั้นก็ไม่ได้บกพร่อง ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะไม่ตั้งครรภ์ จากนั้นจึงได้ยินคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินกล่าวว่าสามีของนางมีอนุภรรยานับสิบคน แต่ละคนไม่มีใครให้กำเนิดบุตรเลย เฟิ่งชิงเฉินจึงเอ่ยเตือนอย่างสุภาพว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่สามีของนาง

คุณหนูใหญ่ตระกูลเวินได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่านางจะนำไปพิจารณาดู และเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่าอย่ากล่าวเรื่องนี้ออกไป เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าตกลง จนกระทั่งคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินเดินทางจากไปแล้ว จิ้นหยางโหวฮูหยินจึงได้นั่งลงสนทนากับเฟิ่งชิงเฉิน

ไม่มีอะไรมากกว่าการปลอบโยนเรื่องของที่นางถูกกล่าวหาในทางชู้สาวกับเสด็จอาเก้าได้ถูกองค์จักรพรรดิระงับเรื่องเอาไว้ และเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนั้นอีก เช่นนั้นในระยะเวลาอันสั้นคงจะไม่เกิดเรื่องใดแน่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ