จะสายหรือไม่ก็ตาม คำถามนี้คงอยู่ในใจของเฟิ่งชิงเฉินเพียงชั่วคราว จากนั้นก็หายไป
นางในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคิดว่านี่มันสายเกินไปหรือไม่ เพราะตัวนางและสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าเมืองหลวงนั้น กำหนดไว้แล้วว่านางและเสด็จอาเก้าคงไม่มีพรหมลิขิต
ไม่ว่านางจะพยายามมากเพียงใด นางก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่านางเคยเป็นคู่หมั้นของตงหลิงจื่อลั่วและเรื่องราวน่าอับอายหน้าประตูเมืองหลวงนั้นได้
ทั้งสองสิ่งนี้แค่มีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็มากพอที่จะทำลายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งได้ อย่าว่าแต่มีพร้อมทั้งสองเรื่องเลย
นางที่เป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่เสด็จอาเก้า แม้แต่คุณชายหรือชายใดในเมืองนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็มิอาจเหมาะสมที่จะครอบครอง
ในราชวงศ์ตงหลิงที่ซึ่งเคร่งครัดเรื่องภูมิหลัง อย่าว่าแต่เป็นภรรยาผู้อื่นเลย แม้แต่เป็นนางสนมนางก็ไม่คู่ควรด้วยซ้ำ
แต่นางมาจากยุคปัจจุบัน จะยอมเป็นนางสนมรึ? และยอมรับการที่ผู้ชายมีภรรยาสามถึงสี่คนได้หรือ?
ไม่ได้……
ฉะนั้นนางจึงถูกลิขิตไว้ให้อยู่ตัวคนเดียว
นางจะไม่มีสามี นางจะไม่มีลูก แต่นางจะมีมิตรสหาย
หวังจิ่นหลิงนับเป็นหนึ่งคน
"จิ่นหลิงมิต้องมากพิธี เจ้าเรียกข้าว่าชิงเฉินก็ย่อมได้" เฟิ่งชิงเฉินตอบรับอย่างใจกว้าง
"ตกลง เช่นนั้นจิ่นหลิงจะน้อมรับ" หวังจิ่นหลิงหันข้างและแสดงท่าทางเชิญชวน "เรือนนี้โทรมเล็กน้อย หวังว่าชิงเฉินจะไม่รังเกียจ"
"จิ่นหลิงช่างอ่อนน้อมถ่อมตนเหลือเกิน ภูเขาหากจะมีชื่อเสียงมิใช่เพราะความสูง แต่เพราะมีเทพ คุณค่าของน้ำมิได้วัดกันที่ความลึกแต่เป็นมังกรที่อยู่ในนั้น แม้จะเป็นเพียงบ้านเล็กๆ แต่กลับเป็นสถานที่อบอุ่นยิ่งนัก เรือนเล็กที่จิ่นหลิงว่ามานี้ สามารถสู้เรือนหรูได้นับพันเรือน"
นางเองก็เป็นคนธรรมดา ชอบที่จะสนทนากับผู้คนที่มีความคิดเช่นเดียวกัน ในโลกใบนี้ นางไม่สามารถหาใครที่จะพูดคุยเรื่องผ่าตัดได้ นางไม่สามารถหาใครที่จะพูดคุยความในใจได้
แต่หวังจิ่นหลิงนับเป็นหนึ่งคนที่พูดคุยได้ พวกเขามีความคิดที่คล้ายกัน ที่ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ก็คล้ายกันอย่างน่าประหลาดใจ
"แม้จะเป็นเพียงบ้านเล็กๆ แต่กลับเป็นสถานที่อบอุ่นยิ่งนัก คำชมของชิงเฉินนั้นล้ำค่าอย่างมาก จิ่นหลิงขอน้อมรับไว้" รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังจิ่นหลิงเบิกบานยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ชอบที่จะสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน
เพราะในโลกนี้มีคนจำนวนไม่มากที่มองเห็นทุกอย่างได้กระจ่างเช่นเดียวกับพวกเขา ทั้งคู่เป็นคนกระจ่าง ต่างก็ได้ผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแล้ว แต่กลับยังคงหลงใหลในการใช้ชีวิตมาก
คนอย่างพวกเขาอาจดูอ่อนแอจากภายนอก แต่ภายในพวกเขาแข็งแกร่งมาก
ในโลกนี้นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครสามารถทำลายความกระตือรือร้นในการมีชีวิตของพวกเขาได้ และไม่มีใครสามารถทำลายความภาคภูมิใจและความมั่นใจของพวกเขาที่มีต่อตนเองได้
ทั้งสองเพิกเฉยหวังชีและพูดคุยกันอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับที่เฟิ่งชิงเฉินคิด พวกเขามีมุมมองเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งต่างๆ เหมือนกัน และพวกเขาไม่ได้ยึดติดกับโลกีย์
หวังชีนั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ไม่มีโอกาสพูดแทรกเลย เขาอิจฉาอย่างมาก
ทั้งๆ ที่เขาและเฟิ่งชิงเฉินรู้จักกันก่อน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับดูเหมือนยังไม่สนิทกับเขาเท่าไหร่
สองคนพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ แต่กลับดูเหมือนมิตรรู้ใจกัน และสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งดูไม่น่าอภิรมย์จริงๆ
เป็นคนเช่นกัน เหตุใดจึงต่างกันยิ่งนัก
แต่……
แต่จากนั้นหวังชีก็แอบมีความสุขขึ้นมา
ยิ่งเฟิ่งชิงเฉินชื่นชมพี่ใหญ่ของเขามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใส่ใจกับโรคทางตาของพี่ใหญ่มากเท่านั้น
จำต้องบอกว่า ครั้งนี้หวังชีเดาถูกต้อง!
เฟิ่งชิงเฉินมิใช่คนใจร้อน กล่าวอีกนัยหนึ่งในฐานะศัลยแพทย์ นางจะต้องสงบสติอารมณ์และมีสติ มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น นางจึงจะสามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำที่สุด
แต่ในด้านโรคตาของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินกังวลมากไปเล็กน้อย
เมื่อพวกเขามาถึง พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ซึ่งหมายความว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถอยู่ที่นั่นได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นจะต้องรีบกลับไป มิฉะนั้นนางจะไม่สามารถเข้าเมืองได้ก่อนฟ้ามืด
แคะแคะ...
ในความเป็นจริง เฟิ่งชิงเฉินคิดมากเกินไป
นางใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก เหตุผลที่พวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่นี่เป็นความตั้งใจของหวังชี
ความคิดดั้งเดิมของหวังชีคือ มาถึงช้าก็จะสามารถให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่นานกว่าเดิม หากว่านางสามารถอยู่ที่นี่ทั้งคืนจะเป็นการดีที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ