นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 614

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทหารชั้นผู้น้อยได้เดินทางไปซื้อประตูกลับมา ภายใต้การจับจ้องมองดูของเฟิ่งชิงเฉิน เหล่าทหารที่เคยถือปืนถือดาบถือหอก บัดนี้ได้วางมันลง ถอดชุดเกราะออก พ่นน้ำลายออกมาถูไถไปที่มือแล้วเปลี่ยนเป็นช่างไม้ในพริบตา

บรรดาทหารเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมผู้คนหรือปลิดชีพใครล้วนคุ้นเคยยิ่งนัก แต่หากจะให้พวกเขามาถอดประตูซ่อมประตูเช่นนี้ เรียกได้ว่า ช่างลำบากยิ่งนัก เขาทั้งหลายใช้แรงไปค่อนข้างมาก ในที่สุดก็ได้ถอดประตูเก่าออก และทำนองเดียวกัน พวกเขาใช้เรี่ยวแรงมหาศาลกว่าที่จะนำประตูนั้นใส่เข้าไปใหม่ได้ แต่ว่า......

“มันเอียง” เฟิ่งชิงเฉินประชดประชันขึ้น

“ไม่ตรง” เฟิ่งชิงเฉินยังคงแสดงความไม่พึงพอใจออกมา

“ประตูเรือนของพวกเจ้ามีช่องโหว่เช่นนี้เชียวหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างโมโหขุ่นเคือง

“ประตูบ้านของใครจะไม่เท่ากันทั้งซ้ายขวา ประตูเช่นนี้จะปิดลงได้หรือ พวกเจ้ากำลังเปิดทางให้แก่หัวขโมยหรืออย่างไร หรือเกรงว่าองครักษ์ ในจวนข้าไม่มีอะไรจะทำ” ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินเรื่องมากแต่อย่างใด แต่คนเหล่านี้ไม่อาจทำมันให้ดีได้จริงๆ

ท้ายที่สุดแล้วบรรดาองครักษ์ก็ทำตัวไม่ถูก จึงทำได้เพียงถอดมันออกแล้วใส่ใหม่ จากนั้นก็ถอดออกและใส่ใหม่ เหล่าราชองครักษ์ที่ตามปกติแล้วดูดุดัน ในบัดนี้กลับว่าง่ายเชื่อฟังดั่งลูกหลานของนาง ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกยืนอ้าปากค้างตกตะลึง อยู่เนิ่นนานโดยทำอะไรไม่ถูก

“พวกเขาเหล่านี้เป็นราชองครักษ์จริงหรือ เป็นราชองครักษ์กันจริงๆ หรือ? นี่ข้าตาฝาดไปหรืออย่างไร ข้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!”

“กล้าที่จะสั่งสอนเหล่าองครักษ์ให้ว่าง่าย? นางเป็นสตรีจริงหรือเปล่า นี่ข้าตาบอดแล้วใช่หรือไม่”

“สตรีผู้นี้คือเฟิ่งชิงเฉินจริงหรือ ในตอนนั้นข้าเห็นนางที่ปากประตูเมือง สาวรับใช้กลั่นแกล้งนางจนไม่อาจดำเนินก้าวต่อไปข้างหน้าได้ แต่ทว่าบัดนี้......ให้ตายสิ มีบ่าวรับใช้คนใดจะกล้าเข้ามาขวางทางนางอีกหรือ?”

เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจว่าราชองครักษ์เหล่านั้นจะโมโหเพียงใด และไม่สนใจว่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกกล่าวถึงนางว่าอย่างไร จนกระทั่งท้ายที่สุดแล้วนางพึงพอใจจึงพยักหน้าตอบ อนุญาตให้พวกเขาทั้งหลายเดินทางจากไปได้ แน่นอนว่าก่อนที่พวกเขาจะเดินทางจากไป ได้ให้เหล่าราชองครักษ์นำประตูเก่าที่พังแล้วนำไปทิ้งด้วย

เหล่าราชองครักษ์ที่เดินออกไปแล้วสองสามก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมาแบกประตูบานนั้นออกไปโดยไม่กล้าส่งเสียงบ่นออกมาแม้แต่น้อย พวกเขาทำตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อจะได้เดินทางกลับอย่างราบรื่น เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เดือดร้อนคับข้องใจก็เป็นตัวพวกเขาเอง

พวกเขาเดินแบกประตูอันพังนั้นออกไปด้วยความรวดเร็วดังที่ไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นรีบออกห่างจากเรือนเล็กฝั่งตะวันตกแห่งนี้

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้านี่ช่างหล่อยิ่งนัก!” ตี๋ตงหมิงวางมือที่คางแล้วใช้ข้อศอกยันไว้บนเก้าอี้ มองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางอันชื่นชม

“ข้าเป็นสตรี ใช้คำว่าหล่อคงไม่อาจเข้ากับข้าได้ เจ้าสามารถเรียกข้าว่ามีเสน่ห์ได้” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นด้วยท่าทางอันสง่างามแล้วเดินตรงเข้าไปด้านในห้อง เป็นความหมายว่าให้ตี๋ตงหมิงเดินตามเข้ามานางมีเรื่องจะสนทนากับเขา

เมื่อมั่นใจว่าภายในห้องไม่มีผู้ใดอื่น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ท่านซื่อจื่อ หากท่านไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว โปรดช่วยจัดหาสิ่งของที่ข้าเขียนเอาไว้ให้หน่อยได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นความลับ จะให้ใครค้นพบไม่ได้ เมื่อไหร่ที่สิ่งของครบแล้ว ให้นำไปยังจวนเฟิ่งที่เพิ่งสร้าง”

“นี่มันอะไรกัน เจ้าจะนำสิ่งของเหล่านี้ไปทำไม?” ตี๋ตงหมิงมองไปยังกระดาษที่เขียนเอาไว้มีถ่าน กำมะถันและสิ่งอื่นๆ ทำให้เขารู้สึกงุนงงยิ่งนัก

“ชู่ว์” เฟิ่งชิงเฉินยกนิ้วชี้ขึ้นแตะไปที่ริมฝีปากของตนแล้วเอนกายเข้าไปด้านหน้าเล็กน้อย กล่าวข้างหูของตี๋ตงหมิงว่า “สิ่งของเหล่านี้เอาไว้ฆ่าคน เรื่องนี้มีเพียงเราสองคนนั้นที่รับรู้ เชื่อข้าเถิดข้าทำไปเพื่อจะได้ช่วยเสด็จอาเก้า”

เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่อยากนำมันมาใช้ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้วจะบีบบังคับองค์จักรพรรดิได้อย่างไรให้ปล่อยตัวเขา

เฟิ่งชิงเฉินพยายามระงับความวิตกกังวลของนาง เรื่องนี้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วนางทำได้เพียงลดมาตรฐานของตนเองส่วนตัวลงไป แค่สิ่งของเหล่านี้นำไปใช้ให้ถูกประสงค์ ไม่ใช้กับบรรดาชาวบ้านทั่วไปก็เป็นพอ

ในสนามรบนั้นโหดเหี้ยม หากไม่ใช่ข้าตาย เจ้าก็ตาย นางจะใจอ่อนไม่ได้ เพราะว่าหากใจอ่อนก็จะทำให้ตัวเองต้องได้รับความเดือดร้อน ผลของมันนางไม่อาจรับได้ ต่อให้คนอื่นตายก็ไม่ยอมให้ตนเองต้องตายอย่างเด็ดขาด

ตี๋ตงหมิงมองเห็นใบหน้าอันระมัดระวังและจริงจังของนางเอง ตัวเขาเองจึงได้ระวังมากขึ้น แล้วจดจำเนื้อหาที่อยู่ในกระดาษใบนั้น ก่อนจะทำลายมันทิ้ง “ตามที่เจ้าสั่ง จะไม่มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด” นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นปู่ของเขาเขาก็จะไม่บอก

คำสัญญาของตี๋ตงหมิงดูหนักแน่นเพียงพอ

“ขอบคุณท่านซื่อจื่อ ไว้วันหลังข้าจะเลี้ยงสุราท่าน เมื่อตอนต้นปีข้าได้หมักสุราดอกท้อเอาไว้สิบไห แม้เพียงแค่หนึ่งปี แต่รสชาติก็เยี่ยมยอดยิ่งนัก ไว้วันหลังเราจะขุดมันขึ้นมาแล้วร่วมดื่มด้วยกันสักจอก” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกเกรงใจหรือไม่ได้กล่าวว่าขอบคุณแต่อย่างใด แต่นางใช้วิธีอันเป็นธรรมชาตินี้ในการขอบคุณ

เป็นความหมายว่านางซาบซึ้งใจที่ตี๋ตงหมิงช่วยเหลือนาง อีกทั้งไม่เห็นว่าตี๋ตงหมิงเป็นคนนอก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ