นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 639

ในฐานะที่นางเป็นหมอ เฟิ่งชิงเฉินต้องแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ถึงที่สุด นางเล่นหมากล้อมกับชุยห้าวถิงมาได้ 5 รอบแล้ว และนางก็ชนะติดต่อกันทั้ง 5 รอบ ชัยชนะนี้ทำให้นางสบายใจยิ่งนัก

ยิ่งได้เห็นชุยห้าวถิงแพ้เสียจนหน้าหมอง เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งอารมณ์ดี เล่นกับพวกคุณชายนี่สนุกที่สุดแล้ว ความเหนื่อยล้าและความหิวที่สั่งสมมาทั้งวันได้หายไปจนสิ้น ยิ่งเห็นชุยห้าวถิงแพ้ นางก็ยิ่งอิ่มเอมใจ

"ขออีกสักรอบเถอะน่า" ตอนนี้ชุยห้าวถิงไม่มีกะจิตกะใจจะไปห่วงเรื่องการผ่าตัดแล้ว เขาต้องการคว้าชัยชนะกลับมาให้ได้

ช่างขายหน้าจริงๆเลย เป็นถึงคุณชายตระกูลชุย แต่กลับเล่นหมากแพ้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเฟิ่งชิงเฉิน เขามิอาจยอมได้

เขาเริ่มเรียนเขียนอ่านนับตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ พอ 3 ขวบก็เริ่มอ่านบทกวี เขาได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้หลายแขนงทั้งเชิงศาตร์และเชิงศิลป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเล่นหมากชนิดต่างๆ ฝีมือของเขาไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเซียนหมากระดับแว่นแคว้นเลย

วันนี้เขาถูกเฟิ่งชิงเฉินจู่โจมอย่างหนักหน่วง

"ไม่ล่ะ ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ความสามารถเราต่างกันอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า" เฟิ่งชิงเฉินปัดหมากบนกระดานจนกระจัดกระจาย

การประลองหมากต้องใช้สมาธิมากเกินไป นางเหนื่อยแล้ว

คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินช่างยั่วโมโหได้ดีมาก แค่แพ้ก็เจ็บใจอยู่แล้ว นี่ยังมาถูกเฟิ่งชิงเฉินสบประมาทอีก นางกล่าวหาว่าเขาไม่มีสิทธิ์ไปท้าแข่งกับนาง มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว

ชุยห้าวถิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามวางมาดคุณชายที่ดูน่าเกรงขาม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม "มาแข่งกันอีกสักรอบ อีกแค่รอบเดียวเท่านั้น"

หากเขาไม่ชนะก็คงทำใจให้สงบไม่ได้ สองรอบแรกยังพอจะอธิบายได้ ตอนนั้นเขาเผลอใจลอยไปหน่อย แล้วสามรอบหลังล่ะ? เขาก็เล่นหมากอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ทำไมถึงได้แพ้ไม่เป็นท่าอย่างนี้ล่ะ

"ไม่ต้องพูดแล้ว ต่อให้เล่นอีก 10 รอบท่านก็แพ้อยู่ดี อย่างท่านเขาไม่เรียกว่าเล่นหมากหรอกนะ ท่านก็แค่ลงหมากไปตามช่อง แต่ไม่มีความเด็ดขาดแม้แต่น้อย" เฟิ่งชิงเฉินวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สนใจสีหน้าของชุยห้าวถิงเลย

มองหมากเหมือนมองคน ชุยห้าวถิงเป็นทายาทตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับหวังจิ่นหลิง ทั้งสองคนสุภาพอ่อนโยนเหมือนๆกัน แต่จิ่นหลิงมีความตระหนักมากกว่าชุยห้าวถิง เขารู้จักทะนุถนอมชีวิตของตัวเอง

ชุยห้าวถิงก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เขาเป็นชายวัยกลางคนจนแทบจะเรียกว่าลุงได้แล้ว ไม่ควรใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนเด็กทั่วๆไป

อายุก็ขนาดนี้แล้ว สมัยตอนเป็นเด็กเขาคงไม่เคยรับรู้รสชาติอันขื่นขม ได้แต่เที่ยวเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้เติบโตมาท่ามกลางความเครียด

"ไม่มีความเด็ดขาดหรือ?" ชุยห้าวถิงพลันหยุดชะงักจากการหยิบเม็ดหมากล้อม แล้วเขาก็คีบเม็ดหมากล้อมมาวางไว้ตรงหน้าของตัวเอง "ข้าป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายปี ไม่มีความเด็ดขาดอย่างที่เจ้าว่าจริงๆด้วย แถมยังไม่มีแม้แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดด้วยซ้ำ"

หากไม่ได้มาเยือนตงหลิงและได้พบกับเฟิ่งชิงเฉิน ป่านนี้เขาคงกำลังนอนรอความตายอยู่ในจวนตระกูลชุย

"ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรก็ตาม อย่าละทิ้งความปรารถนาที่จะรอดชีวิต การที่ท่านใช้ชีวิตไปวันๆเช่นนี้มันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ? แล้วท่านจะมาให้ข้ารักษาไปทำไม สู้ไปนอนรอความตายเสียไม่ดีกว่าหรือ" เฟิ่งชิงเฉินยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม และทานของว่างไป 2 ชิ้น

อารมณ์ที่เบิกบานทำให้คนลืมความหิวได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจทำให้คนหายหิวได้เต็มร้อย เฟิ่งชิงเฉินกำลังใจจดจ่อกับของว่างตรงหน้า ส่วนชุยห้าวถิงก็กำลังใจจดจ่อกับคำพูดเฟิ่งชิงเฉิน เขากำลังคิดทบทวนเรื่องเส้นทางชีวิตของตนเอง การเดินทางของเขาถูกหรือผิดกันแน่นะ

ชุยห้าวถิงครุ่นคิดอย่างตั้งใจ

หลังจากผ่านไปได้สักพัก เฟิ่งชิงเฉินก็อิ่มแล้ว ชุยห้าวถิงก็ครุ่นคิดเสร็จแล้วเช่นเดียวกัน เขายื่นเม็ดหมากล้อมสีขาวมาตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉิน "เรามาลองดูอีกสักรอบ"

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกินอิ่มและเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้าง แต่ความจริงแล้วนางไม่ได้ชื่นชอบการเล่นหมากล้อมเลย มันเป็นกิจกรรมที่ทำให้คิดมาก และเนื่องจากนางไม่ต้องการแพ้ จึงต้องคิดมากเพื่อคว้าชัยชนะ

ก่อนหน้านี้ แค่เพียงหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจของคนไข้เท่านั้น แต่ตอนนี้......

หากจะให้เฟิ่งชิงเฉินเล่นหมากล้อมอีกรอบ ก็ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน

"ให้เล่นอีกรอบก็ใช่ว่าจะไม่ได้หรอกนะ......" เฟิ่งชิงเฉินเกริ่น ซึ่งชุยห้าวถิงก็รู้ทันนาง คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมเสียเปรียบใครง่ายๆอยู่แล้ว

"เจ้ามีเงื่อนไขอะไรล่ะ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ