เฟิ่งชิงเฉินทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย นางเอ่ยถามถึงชื่อผู้ป่วย อายุ แล้วจดไว้บนกระดาษ รวมไปถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยโดยละเอียดก็ได้บันทึกลงไปด้วย
เซวียนเส้าฉีอยู่ใกล้นางมากที่สุด เขามองเห็นเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางได้อย่างชัดเจน มืออยากจะหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นไปเช็ดให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เปลี่ยนใจละทิ้งความคิดนั้น เพราะเขาไม่อยากสร้างความวุ่นวายหรือไม่สบายใจให้เฟิ่งชิงเฉินเพิ่มขึ้น
เขาก้มหน้ามองดูประวัติผู้ป่วยที่เฟิ่งชิงเฉินเขียนเอาไว้ เซวียนเส้าฉีรู้สึกตกตะลึงกับความคิดของเฟิ่งชิงเฉินมากยิ่งนัก เนื่องจากประวัติคนไข้เหล่านั้นใช้ดินสอถ่านในการเขียน ตัวอักษรจึงเขียนออกมาได้ขนาดเล็กไม่เปลืองพื้นที่ แต่ก็มองได้อย่างชัดเจน ไม่เหมือนกับการที่ใช้พู่กันเขียน ต้องคอยดูว่าน้ำหมึกจะเลอะซึมหรือไม่ และยังไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลบเลือน
ลายมือของเฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนกับหมอทั่วไปที่เขียนค่อนข้างตวัด ลายมือของนางนั้นมองได้ชัดเจนสะอาดสะอ้านดุจดั่งรูปลักษณ์ภายนอกของนาง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเข้าใจถึงวิธีการรักษาของนาง ชื่อยาต่างๆ ที่ใช้ในการรักษาก็ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
หลังจากเขียนประวัติคนไข้เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็จะนำกระดาษใบนั้นส่งให้แก่ผู้ป่วย กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างด้วยความอดทนว่า “ใบนี้จงเก็บไว้ให้ดี เนื่องจากมีผู้ป่วยทำจำนวนมาก ข้าคงจะลืมไปบ้าง กระดาษใบนี้ได้เขียนการตรวจอาการของข้าเอาไว้ เวลาจ่ายยาข้าจะต้องดูใบนี้”
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน เนื่องจากว่าสภาพแวดล้อมและอาหารในสมัยโบราณนับว่ายังค่อนข้างจะปลอดภัย จึงไม่มีผู้ป่วยที่อาการแปลกๆ ปรากฏขึ้น และไม่มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อในที่นี้
ในสมัยโบราณแม้เพียงแค่เป็นหวัดก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ที่ว่ากันว่าอาการหนักนั้นไม่ได้มีความน่ากลัวดังที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ อีกทั้งอาการก็ไม่ได้หนักหนาเสียจนเกินไป อย่างน้อยก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าไม่อาจหายามารักษาได้ และอาจจะสิ้นใจในทันควัน
“ขอบคุณ ขอบคุณแม่นางมากยิ่งนัก แม่นางชั่งใจดีประเสริฐแท้” คำพูดเช่นนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของคนเพียงแค่สองสามคน ดังนั้นเมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยิน นางแทบจะไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจได้สักเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
“แม่นาง ไม่รู้ว่าจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าให้แก่พวกเราได้หรือไม่”
“นั่นสิแม่นาง เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้ แต่พวกเรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร”
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเริ่มต้นก่อน จากนั้นผู้คนทั้งหลายแหล่ก็พากันเข้ามาเอ่ยถามชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน แม้แต่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกห้องก็พากันชะโงกหน้าเข้ามามอง อยากจะรู้นักหนาว่าสตรีซึ่งกล่าวถึงวิธีการรักษาโรคภัยต่างๆ ออกมาโดยไม่ปิดบังผู้นี้ชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยิ้มขึ้นแต่ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป นางก้มหน้าทำงานของตนต่อ
เนื่องจากมีกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะอยู่ด้วย ดังนั้นการทำงานของนางจึงค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แม้จะตรวจรักษาอาการผู้ป่วยที่ค่อนข้างหนัก แต่ความวุ่นวายในการทำงานของนางก็เทียบเท่าได้กับซุนซือสิงที่อยู่ข้างนอกรักษาเพียงคนไข้ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าซุนซือสิงค่อนข้างใจดีและเป็นกันเองมากกว่านาง
ซุนซือสิงค่อนข้างมีความอดทนสูง เขาเข้าถึงและใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้มากกว่า ในตอนแรกผู้ป่วยต่างพากันสงสัยว่า หมอหนุ่มที่อายุน้อยเพียงนี้จะรักษาพวกเขาได้จริงหรือ
เพียงแต่ทุกคนเห็นว่าไม่ต้องเสียเงินรักษาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาก็เท่านั้น แต่เมื่อยามที่พวกเขาทั้งหลายเห็นวิธีการจัดการกับบาดแผล ที่เกิดขึ้นจากความหนาวเหน็บด้วยความชำนาญและสะอาดสะอ้าน พวกเขาก็พากันดวงตาแดงเรื่อ บาดแผลที่ดูน่ารังเกียจเหล่านี้แม้แต่คนในครอบครัวของพวกเขายังไม่อยากจะแตะต้องมัน แต่ซุนซือสิงคุณชายที่ดูสง่างามผู้นี้กลับไม่รังเกียจพวกเขาแม้แต่น้อย
ผู้ป่วยเอ่ยถามคำถามใดออกมา ซุนซือสิงก็ตอบอย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทางอันเยือกเย็นและห่างเหินดุจดั่งหมอคนอื่นๆ เลย ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินตรวจคนไข้ของนางเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะไปจับจ่ายยา คนจากจวนเฟิ่งได้นำกล่องยาแบกมาไว้ให้แต่เนิ่นๆ แล้ว ทั้งยังจัดหาห้องไว้สำหรับวางยา มีผู้คุ้มกันคอยดูแลอยู่หน้าห้องอย่างแน่นหนา
“จงไปรับยากับข้า” เฟิ่งชิงเฉินว่างประวัติคนไข้ไว้บนโต๊ะแล้วหันไปกล่าวกับเซวียนเส้าฉี
เนื่องจากตอนนี้คนมีไม่พอ เซวียนเส้าฉีที่อยู่ข้างกายของนางนี่ก็ว่างอยู่ หากไม่ใช้ก็คงจะเสียประโยชน์เปล่า
“อืม” เซวียนเส้าฉีเดินตามเฟิ่งชิงเฉินไปดุจดั่งลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนพากันเดินออกไปจากห้อง ภายรอบห้องนั้นผู้คนต่างพากันหลีกทางให้ทั้งสองได้เดินออกไปเป็นแถว แต่ละคนดูท่าทางกระสับกระส่ายก้มหน้าก้มตา ด้วยเกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะตำหนิพวกเขาและไม่พึงพอใจ
ในเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงพบว่าด้านนอกห้องเต็มไปด้วยผู้คนรายล้อมมากมาย นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ทำเพียงก้าวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วไม่หยุดหย่อน
ภายในห้องนั้นไม่มีใครที่เป็นโรคติดต่อ แม้ผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกจะกลัวว่าพวกเขาเองก็จะป่วยตามไปด้วย แต่......นางเองก็เข้าใจดีถึงความเป็นห่วงกังวลคนในครอบครัว
เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงออกไป คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเคยชินกับการวิ่งไล่ติดตามเฟิ่งชิงเฉินไปเสียแล้ว มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น เมื่อครั้นเดินตามหลังเฟิ่งชิงเฉินไปว่า “แม่นางผู้นี้ดูเหมือนข้าจะเคยเห็น”
“นั่นสินั่นสิ นางดูคุ้นตามากยิ่งนัก ราวกับว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน”
แม้คนที่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินจะมีไม่น้อย แต่ชาวบ้านที่เคยเห็นสภาพนางโดยมากแล้วมักจะเป็นคนที่เห็นนางตอนน่าสมเพช ยามที่นางปรากฏกายอย่างสง่างามและสดใสล้วนมีทหารคอยปกป้องเอาไว้ ชาวบ้านทั่วไปจึงทำได้เพียงมองนางจากระยะทางห่างและคลุมเครือ ประกอบกับ......
ทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินถูกเผยแพร่ไปเพียงแค่ชนชั้นสูงเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาที่รู้จักนางค่อนข้างน้อยจนนับนิ้วได้ ต่อให้รู้จักนางพวกเขาก็ไม่ได้เอาไปพูดต่อ ดังนั้นการที่ไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เมื่อได้ยินมีคนกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินมองไปช่างคุ้นตายิ่งนัก ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ด้านข้างกายจึงได้พากันครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งวัยกลางคน ดวงตาเป็นประกายพูดขึ้นแทบกระโดดขึ้นมาจากพื้นว่า “ข้าจำได้แล้วข้าจำได้แล้ว แม่นางเฟิ่ง เป็นแม่นางเฟิ่งนั่นเอง!”
“แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่งคนใดกัน?” มีคนเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เฟิ่งชิงเฉินไง บุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่ง แม่นางคนที่ถูกชาวบ้านโยนผักเน่าและไข่เน่าใส่ที่ประตูเมือง!” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดังลั่น และเมื่อนางกล่าวจบใบหน้าของนางก็แดงเรื่อ
หากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นั่น นางคงจะรู้สึกว่าประโยคนี้ดุจดั่งเข็มพิษที่ทิ่มแทงเข้ามาใน ใจ แต่ละคนพากันเหลือบมองดูผู้ที่อยู่ข้างกาย
“หา......เป็นแม่นางเฟิ่งหรือ? ใช่แล้ว ข้านึกขึ้นได้แล้วข้าจำได้แล้วล่ะ ข้ายังเคยเอาไข่เน่าโยนใส่นางเลย ทำอย่างไรดีเล่าพวกเรา?”
“ข้าเองก็เคยด่าทอนางเช่นกัน แล้วก็ยัง......เคยถ่มน้ำลายรดนางอีกด้วย!”
“ข้าเองก็เคยด่านาง ข้าเคยด่านางด้วยเช่นกัน!”
“ทำยังไงกันดีล่ะทีนี้พวกเรา ตายแน่ๆ!”
“หากแม่นางเฟิ่งรู้เข้าละก็จะโกรธพวกเราหรือไม่ นางจะไม่รักษาพวกเราหรือเปล่า?”
“แม่นางเฟิ่งช่างเป็นคนดีเหลือเกิน เป็นคนดียิ่งนัก!”
“ในตอนนั้นข้ามีตาหามีแววไม่ เหตุใดข้าจึงได้รถน้ำลายใส่นางกันเล่า ข้านี่ปากเสียเหลือเกิน!”
“เพียะ......” น้ำเสียงฝ่ามือดังขึ้น ชายกลางคนผู้หนึ่งตบปากของตนเองอย่างดัง วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็แดงเรื่อ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ที่เขาตบหน้าตนเองใช้กำลังไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในตอนนั้นข้าเองก็เอาผักเน่าโยนใส่แม่นางเฟิ่งด้วย มือของข้านี่ช่างสกปรกสิ้นดี!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...
ตอนที่ 1425 หายไปค่ะ...