นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 698

หลังจากที่องค์จักรพรรดิเสด็จไปแล้ว เสด็จอาเก้าก็ได้สั่งให้คนในวังออกไป ทั้งนางในและขันทีรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นผู้เฉลียวฉลาด พวกเขาเข้าใจดีว่าวันพรุ่งนี้เสด็จอาเก้าจะเดินทางกลับแล้ว และรู้ว่าองค์จักรพรรดิยอมถอยให้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าอีกต่อไป

เหล่านางในและขันทีต่างพากันแยกย้ายทำให้ตำหนักอันเงียบสงบนี้เหลือเพียงเสด็จอาเก้าคนเดียว ไม่มีใครมองเห็นรอยยิ้มอันประชดประชัน ดูถูกเหยียดเยาะเย้ยของเสด็จอาเก้า

เสด็จพี่ หวังว่าวันพรุ่งนี้จะยังหัวเราะออกได้! ข้าไม่ใช่คนที่จะถูกใครเอาเปรียบง่ายๆ

พระราชโองการ!

ในค่ำคืนนั้น องค์จักรพรรดิก็ได้ประกาศพระราชโองการลงไป ให้ซุ่นเทียนฝู่ปล่อยตัวข้ารับใช้ของเสด็จอาเก้าออกไปทั้งหมด ให้พวกเขากลับไปยังจวนอ๋องเก้าเพื่อที่จะเก็บเตรียมสิ่งของในจวนให้เรียบร้อย รอคอยต้อนรับเจ้านายของตนในวันรุ่งขึ้น

ตอนที่คนจากจวนอ๋องเก้าได้ยินข่าวนี้ก็ไม่ได้ดีอกดีใจเสียตะโกนร้องออกมา เนื่องจากพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จะไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาอย่างชัดเจนนัก

ในฐานะคนสนิทของเสด็จอาเก้า พวกเขาล้วนเข้าใจดี ตราบใดที่เสด็จอาเก้ายังไม่ล้มลง พวกเขาก็จะไม่เกิดเรื่องได้อย่างแน่นอน และด้วยความสามารถของเจ้านายพวกเขา การเดินทางออกจากคุกนั้นเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว

หลังจากที่พ่อบ้านแห่งจวนอ๋องเก้าทำการนับจำนวนคนในจวนเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำพวกเขาทุกคนที่เป็นบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องก้าว เดินมุ่งหน้ากลับไปทางจวน แม้ว่าจะถูกกักตัวไว้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องก้าวแต่ละคนก็ดูสดชื่น ไม่มีความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย

ฝู่หลินยืนอยู่บริเวณหัวมุมถนน สายตามองไปยังบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเก้าเหล่านั้น แววตาอันประหลาดใจประกายออกมา จากนั้นหันหลังกลับเดินทางไปยังทิศทางตรงข้ามกับจวนอ๋องเก้า

ไว้เจอกันใหม่!

เรื่องราวที่บ่าวรับใช้ในจวนของเก้าถูกปล่อยออกมาจากเรือนจำนั้น เผยแพร่ออกไปในระยะเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงยาม ผู้คนในเมืองหลวงที่ควรรู้ล้วนรู้กันสิ้น ชุนฮุ่ย ชิวฮั่ว เซี่ยหว่าน และตงชิงพากันเข้าไปโอบล้อมอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋อง ท่านอ๋องออกมาแล้ว!”

“คุณหนูเจ้าคะ ช่างดีเหลือเกิน ช่างดีเหลือเกิน ท่านอ๋องออกมาแล้ว คุณหนูจะได้ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีก!”

บ่าวรับใช้ทั้งสี่คนทำท่าทางดีใจอย่างเหลือล้นแล้วกระโดดโลดเต้นไปรอบด้าน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ดีใจเช่นกัน และไม่ได้ตำหนิที่พวกนางดีใจจนเกินเหตุ

ทงจือและทงเหยาที่ยืนอยู่ด้านนอก พากันมองหน้าได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

การที่เสด็จอาเก้าสามารถออกมาจากคุกได้นั้น แน่นอนว่าพวกนางก็ดีใจ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกหน้าออกตาดังเช่นทั้งสี่คน ทั้งยังดูเหมือนจะ เป็นห่วงคุณชายใหญ่เล็กน้อย

ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เป็นอิสระสักที เฟิ่งชิงเฉินเองก็มีความสุขมาก เพียงแต่ว่า ...... จวบจนกระทั่งบัดนี้นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเสด็จอาเก้าใช้วิธีใดกันแน่เกี่ยวกับภัยพิบัติในครั้งนี้ เหตุใดยังไม่ทันได้เผยแพร่ออกไปว่าใครเป็นคนทำ องค์จักรพรรดิก็ได้ปล่อยตัวเขาแล้ว

การเมืองการปกครองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนจริงๆ นางไม่เข้าใจเลย

จนกระทั่งหลายวันต่อมาเฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่าที่แท้องค์จักรพรรดิและเสด็จอาเก้าร่วมมือกัน หรือกล่าวได้ว่าฝ่ายองค์จักรพรรดิคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียว ว่าสองพี่น้องหันหน้าเข้าหากันร่วมมือกำจัดตระกูลชุย และปกป้องราชวงศ์ตงหลิง

แน่นอนว่าหนทางนั้นยังอีกยาวไกล สิ่งที่เสด็จอาเก้าลงทุนทำไปนั้นก็คือโรงทานของบุคคลลึกลับ นับตั้งแต่วันที่เสด็จอาเก้าออกมาจากพระราชวัง พวกเขาก็หายไป อีกทั้งทางการก็ขาดแคลนอาหาร ด้วยเหตุนี้เอง......

บรรดาผู้ประสบภัยพิบัติไม่มีอาหารกินมาเป็นเวลาสองวันแล้ว แม้บัดนี้จะยังไม่มีใครอดตาย แต่ก็เกิดการโกลาหลไม่น้อย น่าเสียดายที่องค์จักรพรรดิได้รู้ข่าวนี้หลังจากนั้นสองวัน และได้เรียกเสด็จอาเก้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเอ่ยถาม เสด็จอาเก้ากลับไม่รู้สึกสึกกังวลใจแม้แต่น้อย แล้วตอบว่า “เสด็จพี่ ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว โปรดสงบลงเถิด ประเดี๋ยวเดินทางออกจากวังแล้วข้าจะส่งคนไปเผยแพร่ข่าว ให้พวกเขาหยุดจำหน่ายแจกจ่ายอาหาร แล้วนำอาหารทั้งหมดมามอบให้กับราชสำนัก แต่ระหว่างนั้นก็อาจต้องใช้เวลาเล็กน้อย จากที่ข้ารู้มา ทางราชสำนักได้เริ่มแจกจ่ายโจ๊กแล้ว”

วิธีการอธิบายเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่า...... ใครเล่าที่บอกเขาได้ว่าข่าวการหยุดแจกจ่ายอาหารทำไมได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น แต่เรื่องของการโยกย้ายอาหารของราชสำนักกลับช้าไปถึงสองวัน ทำให้เกิดเหตุจลาจลในหมู่ผู้ประสบภัย

แม้ว่าจะไม่ได้เกิดการจลาจลจริงๆ ก็ตามแต่ ทว่าการกระทำนี้กลับสื่อให้ทุกคนในโลกรู้ว่าเขาผู้เป็นจักรพรรดิก็มีความผิด ทำให้ทุกคนสงสัยในแหล่งที่มาของอาหารบรรเทาภัย

ชายลึกลับผู้นั้นและราชสำนักหยุดทำการแจกจ่ายอาหารในวันเดียวกัน หลังจากนั้น พื้นที่แจกจ่ายอาหารของชายนิรนามก็หายไป และมีการแจกจ่ายอาหารจากราชสำนักเข้ามาแทนที่ นั่นหมายความว่าอย่างไร

ผู้ใดก็ตามที่พอจะมีความคิดอยู่บ้างเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าองค์จักรพรรดิได้แย่งอาหารของชายนิรนามผู้นั้นไป จากนั้นทางราชสำนักก็เข้ามา แทนที่ในการช่วยเหลือภัยพิบัติ

แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้เผยแพร่อยู่ในเฉพาะสังคมชั้นสูง เพราะชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่อาจคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ แต่สิ่งที่องค์จักรพรรดิให้ความสนใจมากที่สุดนั่นก็คือความคิดเห็นของคนชั้นสูงเหล่านี้

เสด็จอาเก้าราวกับกำลังตบหน้าเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขาขายหน้าเป็นยิ่งนัก องค์จักรพรรดิจะไม่โกรธได้อย่างไรเล่า และจะยอมรับคำอธิบายง่ายๆ เช่นนี้ของเสด็จอาเก้าหรือ

เสด็จอาเก้าก็หาได้กลัวองค์จักรพรรดิ แม้จะเผชิญหน้ากับความโมโหขององค์จักรพรรดิอยู่ แต่เขาก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เสด็จพี่ อาหารไม่ได้อยู่ในมือข้า ข้าเองก็ไร้สิ้นปัญญา”

ประโยคนี้ของเสด็จอาเก้าไม่มีความหมายอื่นใด อาหารเหล่านั้นเป็นของเขาแต่ไม่ได้อยู่ในมือเขา เพียงแต่องค์จักรพรรดิได้ยินเป็นอีกความหมายหนึ่ง อันลึกซึ้งนั่นก็คือ

ตระกูลชุยไม่ให้ความร่วมมือ และเขาจะทำเช่นไร?

ตุ๊บ ...... ในครั้งนี้องค์จักรพรรดิรู้สึกโมโหมากจริงๆ เขาใช้แรงตบลงไปบนโต๊ะ “ตระกูลชุย ไอ้พวกตระกูลชุย คิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้อย่างนั้นหรือ พวกเจ้ากำลังท้าทายขีดจำกัดของข้าอยู่ น้องเก้าหลังจากฤดูใบไม้ผลิแล้วเจ้าจงเดินทางไว้ที่ซานตง ข้าต้องการให้ตระกูลหลูแห่งซานตงหายไปจากจิ่วโจวแห่งนี้!”

เนื่องจากตอนนี้องค์จักรพรรดิไม่สามารถแตะต้องตระกูลชุยได้ จึงนึกถึงได้เพียงตระกูลหลูแห่งซานตง เขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ให้พวกที่ เย่อหยิ่งเหล่านั้นมองให้ชัดเจน ว่าการที่เขาไม่ได้ออกมากล่าวสิ่งใดไม่ได้แปลว่าเขาไม่กล้าแตะต้อง

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่” เสด็จอาเก้าคิดไม่ถึงว่าการที่ตบหน้าองค์จักรพรรดิเช่นนี้และสามารถใส่ร้ายป้ายสีตระกูลชุยอีกทั้งยังมีผลพลอยได้ ดังนั้นจึงได้รับพระราชโองการไปอย่างไม่เกรงใจ

ส่วนตระกูลชุยนั้น......ขอโทษที่คงจะต้องยอมรับผิดต่อไปเช่นนี้

ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นเรื่องที่เสด็จพี่คาดเดาเอาเอง ข้าก็เพียงแค่ไม่ได้อธิบายเท่านั้น

เสด็จอาเก้าตบแขนเสื้อเบาๆ แล้วเดินทางออกจากพระราชวังไปอย่างเฉลียวฉลาด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ