สรุปเนื้อหา บทที่ 700 จุดประสงค์ เสด็จอาเก้าคุกเข่าลง – นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย
บท บทที่ 700 จุดประสงค์ เสด็จอาเก้าคุกเข่าลง ของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย อาช้าย อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เมื่อเห็นท่าทางอันโง่เขลาของเฟิ่งชิงเฉินดังนั้น เสด็จอาเก้าก็รู้ได้ทันทีว่าต่อให้เขานั่งอยู่ที่นี่จนท้องฟ้ามืดครึ้มลง เฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่รู้หรอก ว่าเขาเดินทางมาจวนเฟิ่งเพื่อสิ่งใด ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าเขาเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น
ผู้หญิงคนนี้ ยามที่ควรฉลาดกลับโง่เง่าเหลือเกิน ส่วนยามที่ไม่ควรฉลาดนั้นกลับฉลาดหลักแหลม นางสามารถคิดค้นหาวิธีในการเดินบนหิมะได้ในวันที่หิมะตกหนัก และเพิ่มความรวดเร็วว่องไวในการขนส่งอาหารท่ามกลางหิมะเช่นนั้นได้ แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้เขาเดินทางมาจวนเฟิ่งในวันนี้ ก็ทำให้เขาทั้งโมโหและเอ็นดูนาง
การที่เขาเดินทางมาที่จวนเฟิ่งอย่างอลังการณ์เช่นนี้ จะเพื่อสิ่งใดได้อีกเล่า แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพราะเซวียนเส้าฉี เซวียนเส้าฉีไม่ได้มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เขารู้สึกกระตือรือร้นถึงเพียงนั้น เมื่อเห็นใบหน้าอันสับสนงุนงงของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ทำให้นางต้องลำบากใจมาก เขาวางแก้วน้ำชาในมือลง แล้วกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ที่ข้าเดินทางมาในวันนี้ก็เพื่อมาคารวะแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน”
ครั้งก่อนที่เขาเดินทางมา เขาได้แอบทำความคารวะแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครรู้แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่รู้
เสด็จอาเก้าดูท่าทีเคร่งขรึม และไม่สนใจว่าประโยคนี้ของเขาจะส่งผลเช่นไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเฟิ่งชิงเฉินที่ยืนตกตะลึงว่า “ชิงเฉิน พาข้าไปที”
แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งใดอย่างเป็นทางการ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เรียกได้ว่าเป็นเขย ในฐานะเขยก็ควรที่จะไปคารวะพ่อตาแม่ยาย
“เจ้า เจ้าจะไปคารวะพ่อแม่ข้างั้นหรือ?” เป็นไปดังที่เสด็จอาเก้าคิดเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินตกใจและตะลึงจนลุกขึ้นยืน นางชี้ไปทางเสด็จอาเก้า ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่ได้งั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าถามกลับ แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแข็งแกร่งอันไม่อาจต้านทานได้
เขาได้ครองบุตรสาวของทั้งสองคนนี้ แน่นอนว่าควรจะเดินทางไปพบกับบิดามารดาของอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินจะจากไปนานแล้ว แต่พิธีการคารวะกระดูกก็ควรที่จะทำ
แม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเคยมาคารวะกระดูกแล้ว แต่ในตอนนั้นไม่มีใครเห็นหรือรับรู้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นเพียงการกระทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ในครั้งนี้ จึงจะเป็นการเคารพอย่างเป็นพิธีการให้ทุกคนได้เห็นว่าเรื่องของพิธีการนั้นเขาเองก็ไม่ขาดตกบกพร่อง
ตามเหตุผลแล้ว วันแรกที่เขาเดินทางออกจากพระราชวัง ก็ควรจะมาคารวะแม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่ง เพียงแต่ตอนนั้นสถานการณ์ของเขา ค่อนข้างจะพูดยาก ภายในจวนอ๋องเก้าก็ยุ่งเหยิงเหลือเกิน ไม่สามารถจัดขบวนมาเช่นนี้ได้ เพื่อเป็นการเคารพต่อแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน เขาจึงได้รออยู่อีกสองวัน
การที่เขาแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่า เมื่อไหร่ที่หิมะตกแล้วก็จะควรนำกระดูกของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินฝังลงดิน ขุนนางบู๊บุ๋นควรที่จะเดินทางมาร่วมอาลัย นี่จึงจะเป็นการปฏิบัติต่อแม่ทัพเฟิ่งอย่างสมควร
“แน่นอนว่าย่อมได้ เชิญเสด็จอาเก้าทางนี้เถิด ......” เฟิ่งชิงเฉินสูดดมหายใจเข้าแล้วรีบตอบรับทันใด เกรงว่าหากตอบช้ากว่านี้แล้วเขาจะกลับคำ
นี่ค่อยยังชั่วหน่อย
เสด็จอาเก้าพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นให้ผู้ติดตามทุกคนอยู่รอที่นี่ เขาไม่อยากที่จะให้ผู้คนมากมายเพียงนี้เข้าไปรบกวนแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้ากำลังจะเดินตรงออกไปด้านนอก เซวียนเส้าฉีก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่การกระทำเช่นนั้นบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะเดินทางไปพร้อมกับเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าด้วย
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้รั้ง แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าก็คงไม่พูดอะไร เพียงแต่ขณะที่ชำเลืองมองเขาที่เดินผ่านไป แววตาของทั้งสองประสานกันและไม่พบความอาฆาตแค้นใดๆ ทั้งสิ้น
เซวียนเส้าฉีเดินตามเฟิ่งชิงเฉินไปทีละก้าว ทั้งสามคนเดินตรงไปยังห้องโถงไว้ทุกข์ โดยระหว่างทางนั้นทุกคนนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
ภายในห้องโถงไว้ทุกข์ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เมื่อเดินทางมาถึง ทั้งสามคนก็ยังคงอยู่ในความสงบมองไปยังโรงทั้งสองที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีล้วนมีอารมณ์เหมือนจะร้องไห้ เฟิ่งชิงเฉินดวงตาแดงเรื่อน้ำตาคลอเบ้า
ส่วนเสด็จอาเก้าน่ะหรือ เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาใด เพียงแต่ดวงตาอันลึกล้ำนั้นดูเคร่งขรึมลง แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็รู้สึกเสียใจที่แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินจากไปเช่นนี้ ...... คนเราเมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ ต่อให้ร้องไห้ไปอย่างไรก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใด พวกเขาตายจากไปแล้ว พวกเราควรใช้ชีวิตอยู่ให้คุ้มค่าดีกว่า
เฟิ่งชิงเฉินตรงเข้าไปข้างหน้า จากนั้นทำการจุดธูปให้แก่บิดามารดาของตน ก่อนที่จะหยิบธูปไปให้เสด็จอาเก้า เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเมื่อเสด็จอาเก้าได้ธูปแล้ว เขาจะโค้งกายคารวะวิญญาณของบิดามารดานางสามหน แต่คิดไม่ถึงว่า......
“ตุ๊บ......!” เสด็จอาเก้ายกเสื้อคลุมตัวยาวของเขาขึ้น แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าวิญญาณของบิดามารดานาง
เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำมาแล้ว ดังนั้นเสด็จอาเก้าจึงไม่ได้รู้สึกเคอะเขินหรืออึดอัดใจ เขาคุกเข่าลงไปอย่าว่าง่าย
คุกเข่าคารวะฟ้าดินและบิดามารดา ซึ่งบิดามารดาของเฟิ่งชิงเฉินก็เสมือนบิดามารดาของเขา การที่เขาคุกเข่าลงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องได้ใหญ่โต ดังนั้นเสด็จอาเก้าจึงกระทำมัน แต่กลับไม่รู้ว่าอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังตกใจกับการกระทำของเขายิ่งหนัก
“หา......” เฟิ่งชิงเฉินรีบยกมือกุมปากตัวเองไว้ไม่ให้ร้องออกมา
เมื่ออยู่ตรงหน้าห้องโถงไว้ทุกข์ การที่คุกเข่าต่อหน้าผู้ตายเป็นเรื่องปกติ แต่เฟิ่งชิงเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสด็จอาเก้าจะคุกเข่าลงเช่นนี้ต่อหน้าวิญญาณบิดามารดาของนางด้วย
ต้องรู้ก่อนว่าผู้ชายคนนี้หากไม่ใช่กรณีที่คุกคามต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาก็อาจจะไม่คุกเข่าลงด้วยซ้ำ เพราะความเย่อหยิ่ง ทว่าบัดนี้เขากลับคุกเข่าลงไปต่อหน้าวิญญาณบิดามารดาของนางโดยไม่ลังเล จะให้เธอไม่รู้สึกกระสับกระส่ายได้อย่างไร จะให้นางไม่รู้สึกตกใจได้หรือ
“ปึกๆๆ”
คนธรรมดาทั่วไป หากคุกเข่าในห้องโถงไว้ทุกข์ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกไปอย่างใด แต่เสด็จอาเก้าไม่ใช่คนธรรมดา เขาเองก็เคยสืบประวัติของผู้ชายคนนี้มาแล้ว ตัวตนของเสด็จอาเก้าสูงส่งจนเขารู้สึกตกตะลึงเมื่อเดินทางมาคารวะต่อหน้าโลงศพแม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คุกเข่าลง หากว่าองค์จักรพรรดิทรงรู้เรื่องเข้าล่ะก็คาดว่าคงกระอักเลือดด้วยความโมโห
เนื่องจากว่าทุกปีในการคารวะบรรพบุรุษครั้งใหญ่ อยู่ต่อหน้าขุนนางบู๊บุ๋นมากมายเสด็จอาเก้าจึงจำเป็นที่จะต้องคุกเข่าลง ตามปกติแล้วเมื่อเสด็จอาเก้าและองค์จักรพรรดิ หรือจักรพรรดินีหยวน เขาก็จะไม่คุกเข่าให้ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วทำความเคารพ แน่นอนว่าจักรพรรดินีหยวนไม่ใช่เสด็จแม่ของเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ “เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขสักที เซวียนเฟยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับข้า ดังนั้นจึงไม่อาจปรากฏกายได้อย่างเปิดเผย ข้าอยากจะรู้ชีวิตของมารดาข้าก่อนหน้านี้”
ในความทรงจำของนาง แม่ของนางเป็นสตรีที่สูงส่งและดูใจกว้าง สตรีเช่นนี้จะเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะสลักไว้ว่าเป็นคนชั้นต่ำ แต่ด้วยท่าทางที่แผ่ซ่านออกมาไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงรากแท้ได้เลย ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีที่มีบ้านโดยกำเนิด ไม่ถูกลบล้างไปได้ง่ายๆ หรอก
“ไปดูสักหน่อยก็ดี สตรีผู้นั้นใช้ชีวิตเป็นตัวตนแทนป้าโม่เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้ว และใช้ความสุขที่ป้าโม่ควรจะได้รับมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้วเช่นกัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเอาคืน” เซวียนเส้าฉีกล่าวถึงสตรีผู้นั้นเขาก็เผยถึงความขยะแขยงบนใบหน้า
คนที่รู้จักเขาจะรู้ดี เขาไม่ได้รังเกียจที่ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นแม่เลี้ยงของตน แต่รังเกียจที่ผู้หญิงคนนั้นแกล้งทำเป็นป้าโม่ผู้ที่เขาเคารพที่สุด
เซวียนเส้าฉีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ นางปรับปรุงแก้ไขประโยคนั้นว่า “นายท่านน้อย นั่นไม่ใช่ความสุขที่แม่ของข้ามี ความสุขที่แม่ของข้ามีนั้นมอบให้แก่พ่อของข้าหมดแล้ว สตรีผู้นั้นใช้ตัวตนของข้าแลกมากับความสุขจอมปลอมและความสุขจอมปลอมเหล่านั้นแม่ข้าไม่ต้องการมัน เขาใช้ตัวตนของแม่ข้าไปชื่นชอบและรักผู้ที่ข้าไม่ได้ชอบ ช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก หากว่าแม่ของนางชื่นชอบหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงจริงล่ะก็ คงจะไม่กล่าวว่ายกลูกสาวของตนให้แก่เซวียนเส้าฉีหรอก
นับตั้งแต่ต้นจนจบ แม่ของนางไม่ได้มองหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงเป็นคนดีนัก
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน เซวียนเส้าฉีจึงได้รู้ว่าตนคิดผิดไปและเอ่ยขอโทษทันที “ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าพูดผิดไปแล้ว เจ้าพูดได้ถูกต้อง นั่นไม่ใช่ความสุขของป้าโม่ที่ต้องการ ป้าโม่ไม่เคยคิดจะกักตัวอยู่ในเซวียนเซียวกงเช่นนั้น”
“ใช่แล้ว แม่ข้าไม่เคยคิดจะอยู่ที่นั่น หากว่าข้าต้องการอยู่ที่เผ่าเซวียนเซียวจริง สตรีคนนั้นจะมีโอกาสรอดชีวิตมาได้อย่างไร และนางคงไม่จำเป็นต้องใช้ตัวตนของแม่ข้าเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดในเผ่าเซวียนเซียวกง ของปลอมอย่างไรก็เป็นของปลอม ต่อให้หน้าตาเหมือนกันเพียงไร แต่กริยาท่าทางการเสแสร้งก็ไม่เหมือน” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
นางมั่นใจได้เลยว่ามารดาของนางคงจะรู้ถึงความคิดของสตรีผู้นั้น แต่เพียงแค่ดำเนินไปตามสถานการณ์ ไม่อย่างนั้นสตรีคนนี้จะสามารถปิดบังความลับอยู่อย่างสงบสุขมาได้ถึงยี่สิบปีหรือ แน่นอนว่ามารดาของนางคงจะทิ้งทางเลือกเอาไว้เพื่อที่จะให้ผู้หญิงคนนั้น เผยถึงความกระตือรือร้นออกมา
ประโยคนี้ช่างเย่อหยิ่งเหลือเกิน แต่พวกเขาทั้งหลายก็ไม่อาจหักล้างมันได้ เสด็จอาเก้าและเซวียนเส้าฉีพยักหน้าเห็นด้วยราวกับนัดแนะกันมา ......
ลู่อี่โม่ไม่ได้ถูกใครคนใดคนหนึ่งจัดการโดยไม่โต้ตอบ ต้องเข้าใจว่าในตอนนั้นนางยังไม่ตาย หากนางต้องการที่จะแก้แค้นหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียงกง คาดว่าผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ได้มาเนิ่นนาน......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...