นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 701

ตอนที่โม่อี่ป๋ายสิ้นใจลง เสด็จอาเก้าอายุไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเขาที่เป็นชินอ๋องเป็นไปไม่ได้ที่จะเคยพบกับฮูหยินของแม่ทัพ หรือไปสืบถามเรื่องราวฮูหยินของเขาได้

เสด็จอาเก้าไม่เคยเห็นโม่อี่ป๋ายมาก่อน เขาเพียงรู้เรื่องราวเหล่านี้จากสิ่งที่คนรอบกายเหล่านั้นเล่าให้เขาฟัง เสด็จอาเก้าก็รู้ได้ว่าโม่อี่ป๋ายไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา

สตรีที่สามารถติดตามสามีของนางไปในสนามรบได้ นางจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน จะถูกสตรีธรรมดาคนหนึ่งที่ไร้ความสามารถได้จัดการจนถึงขั้นนี้ได้หรือ เรื่องของหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกง คงคิดได้เพียงว่าโม่อี่ป๋ายตั้งใจให้เป็นเช่นนี้

เสด็จอาเก้าเห็นด้วยกับคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวว่า “ชิงเฉิน เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว เฟิ่งฮูหยินอาศัยสตรีผู้นั้นในการหลบหนีออกมาจากเผ่าเซวียนเซียวกง เพราะด้วยความสามารถของเผ่าเซวียนเซียวกงแล้ว หากว่าหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงต้องการจะแต่งงานกับมารดาของเจ้า ต่อให้หนีได้ครั้งหนึ่งก็ไม่อาจหนีได้ตลอดไป มารดาของเจ้าเป็นสตรีที่มีสติปัญญาหลักแหลม นางจึงแก้ไขปัญหาให้เผ่าเซวียนเซียวกงได้ทุกครั้ง”

เมื่อพบกับชายที่นางไม่ได้ชอบ จึงได้หาตัวแทนเข้ามาเป็นตนเองก็ยังดีกว่าถูกใครมาพัวพันอย่างไม่รู้จบสิ้น ......

สิ่งที่ทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกอัดอั้นใจมากที่สุด นั่นก็คือการที่เฟิ่งฮูหยินทอดทิ้งหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงไป แต่กลับทิ้งเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ให้เซวียนเส้าฉี ถึงอย่างไรก็ นับว่าทิ้งปัญหาไว้ให้เซวียนเซียวกง

ดูเหมือนทั้งสองคนจะคิดถึงเรื่องนี้ได้ จากนั้นจึงเงยหน้ามองดูอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้กัน เซวียนเส้าฉีนั่งอยู่ด้านข้าง เขารู้สึกขมขื่นหัวใจกับภาพที่เห็นนี้

ที่แท้เผ่าเซวียนเซียวกงที่ทุกคนล้วนอยากจะเข้าไป สำหรับป้าโม่และเฟิ่งชิงเฉิน เป็นเพียงสถานที่ซึ่งพวกนางรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เซวียนเส้าฉีพยายามระงับความขมขื่นในใจเอาไว้ ไม่อยากไปฟังคำสนทนาของทั้งสองคนว่าในตอนนั้นป้าโม่หนีออกมาจากเผ่าเซวียนเซียวกงได้อย่างไร เขาได้เอ่ยขึ้นว่า “ชิงเฉิน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเดินทางไปที่เผ่าเซวียนเซียวกงด้วย”

นี่แหละคือเซวียนเส้าฉี เขามักจะเห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นอันดับแรกเสมอ ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินเดินทางกลับไปที่เผ่าเซวียนเซียวกงพร้อมกับเขา แต่เป็นเขาที่ติดตามนางกลับไป เรื่องในเผ่าเซวียนเซียวกงนั้นไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำอะไร นางก็เป็นคนตัดสินใจเอง เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาจะทำเพียงคอยปกป้องเฟิ่งชิงเฉินจากด้านหลังเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นาง

“อืม” นางไม่สนใจว่าเสด็จอาเก้าจะรู้สึกไม่พอใจหรือไม่ แต่กลับตอบตกลงเห็นด้วยทันที

หากว่าไม่มีเซวียนเส้าฉีพาไป ด้วยใบหน้าของนางเช่นนี้เกรงว่ายังไม่ทันจะได้เดินทางเข้าไปถึงเผ่าเซวียนเซียวกงก็ถูกคนฆ่าตายเสียก่อนแล้ว เนื่องจากนายหญิงแห่งเผ่าเซวียนเซียวกงคงจะไม่อนุญาตให้นางก้าวเข้าไปในนั้นแม้แต่ครึ่งก้าว

ในเรื่องนี้เสด็จอาเก้าเองก็เข้าใจ เผ่าเซวียนเซียวกงสูงส่งเสียดฟ้า หากว่ามีเซวียนเส้าฉีอยู่ด้วยเฟิ่งชิงเฉินจะปลอดภัยกว่าเดิม ดังนั้นแม้เสด็จอาเก้าจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยความคิดเห็นใดๆ ออกมา

เมื่อกล่าวถึงประเด็นสำคัญจบสิ้นแล้ว หากยังไม่เดินทางกลับไปคงต้องอยู่กินอาหารค่ำแน่ เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะรั้งเสด็จอาเก้าเอาไว้ให้ร่วมรับประทานอาหารในจวนเฟิ่งด้วย จึงส่งสายตาไปให้เสด็จอาเก้าเอ่ยถามเป็นความหมายว่า “มีเรื่องใดอีกหรือไม่” หากมีเรื่องใดก็ควรรีบจัดการเสีย อย่าได้รีรอ หากเสด็จอาเก้าและขบวนของเขาทุกคนจะอยู่กินอาหารเย็นที่จวนเฟิ่ง คาดว่าพ่อบ้านพ่อครัวและคนรับใช้ทั้งหลายคงร้องไห้

“แท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก แต่......” เมื่อนึกถึง เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีจะเดินทางไปยังเผ่าเซวียนเซียวกง เสด็จอากล่าวก็รู้สึกว่าเขามีเรื่องขึ้นมาทันที ในเมื่อเดินทางมาจวนเฟิ่งแล้วเขาก็ควรจะแสร้งทำตัวเป็นคนดีสักหน่อย

“ได้ยินว่าคุณชายชุยรักษาอาการอยู่ที่จวนเฟิ่ง ข้าอยากจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย ไม่รู้ว่าสะดวกหรือไม่?” เสด็จอาเก้ากระทำการใดก็ตามไม่เคยคิดที่จะเอ่ยถามความเห็นของผู้อื่น ดังนั้นความหมายของเขาคือเขาจะเดินทางไปเยี่ยมชุยห้าวถิง ต่อให้ไม่สะดวกก็ต้องสะดวก

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าทำไมเสด็จอาเก้าถึงได้อยากเจอชุยห้าวถิง แต่ถึงกระนั้นนางก็ฉลาดพอที่ไม่เอ่ยถาม จึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเสด็จอาเก้าจากไป “เชิญเสด็จอาเก้า”

การที่เสด็จอาเก้าต้องการไปเยี่ยมเยียนชุยห้าวถิงคงจะมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นนางเพียงแค่เปิดทางให้เสด็จอาเก้าก็พอแล้ว

พวกเขาทั้งหลายเดินตรงไปทางเรือนที่ชุยห้าวถิงใช้พักฟื้น ในครั้งนี้มีองครักษ์ติดตามเสด็จอาเก้าไปด้วย เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินอยู่ข้างหน้าโดยมีเซวียนเส้าฉีอยู่ข้างหลังห่างไปก้าวหนึ่ง การเดินทางมาอันน่าแปลกประหลาดเช่นนี้ เมื่อคุณชายหยวนซีได้รับข่าวก็ได้เดินตรงออกมาและเห็นชายหนุ่มหญิงสาวทันที

บอกตามตรงว่าช่างงดงามเหลือเกิน เพียงแต่มีชายหนุ่มเยอะมากไปหน่อย

“ยินดีต้อนรับ......” คุณชายหยวนซีละความคิดของตนกลับมาแล้วรีบตรงเข้าไปคุกเข่าคารวะเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้ารีบก้าวไปด้านหน้าพยุงคุณชายหยวนซีเอาไว้แล้วกล่าวว่า “อย่าได้มากพิธีเลย”

การกระทำเช่นนี้ของเขาไม่ได้เกิดจากการจอมปลอม แต่ว่าเป็นการพยุงคุณชายหยวนซีขึ้นมาจริงๆ ตามความต้องการ

ไม่ใช่ว่าเสด็จอาเก้าไม่ปฏิบัติตามกฎ แต่เมื่อจากสักครู่เขาเพิ่งจะใช้ตระกูลชุยมาเป็นโล่กำบัง และเมื่อเห็นต่อโล่ซึ่งเป็นประโยชน์ของเขา เสด็จอาเก้าจึงได้ปฏิบัติต่อคุณชายหยวนซีอย่างอ่อนน้อม

“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า” คุณชายหยวนซีเองก็ไม่ได้เกรงใจนัก บอกตามตรงว่าหลายปีมานี้เขาแทบไม่ได้คุกเข่าให้ใครเลย

“คุณชายหยวนซีเกรงใจกันเกินไปแล้ว” เสด็จอาเก้ามีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว ดังนั้นจึงได้เกรงอกเกรงใจคุณชายหยวนซีมากขึ้น

ตระกูลชุยมีความสัมพันธ์และกำลังทรัพย์มาก แต่กลับไม่ค่อยมีโอกาสนัก บัดนี้เขานำโอกาสมายื่นให้ต่อหน้าตระกูลชุย ตระกูลชุยไม่ควรปฏิเสธ เมื่อคิดได้ดังนี้ เสด็จอาเก้าก็ทำสีหน้าอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังคงดูเฉยเมยแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวดังเมื่อก่อน

คนอื่นไม่ทันได้สังเกต พวกเขารู้เพียงว่าบรรยากาศโดยรอบดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าวันนี้คือผลงานของเสด็จอาเก้า เขาลดความเยือกเย็นของตนลง

แม้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เฟิ่งชิงเฉินก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญเพื่อนำทางเสด็จอาเก้าและคุณชายหยวนซีเดินตรงไปยังห้องพักฟื้น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ป่วย เสด็จอาเก้าจึงได้สั่งให้ผู้ติดตามอยู่ข้างนอกเพื่อรอ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ