นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 712

ท้องฟ้าเริ่มสาง ขุนนางในพระราชวังทุกคนรวมตัวกันทางด้านประตูตะวันออก รอเดินทางไปยังตำหนักในตอนเช้า

หิมะตกลงมาตามสายลมร่วงหล่นบนรถม้า ไม่นานก็ละลายหายไป จากนั้นก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้หิมะจะตกน้อยลงมาก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตกในระยะเวลาอันสั้น

“ไม่รู้ว่าหิมะบ้านี่จะหยุดตกลงเมื่อใด” ขุนนางร่างผอมยกม่านบนรถขึ้นพร้อมยื่นหน้าออกมา หิมะร่วงหล่นสัมผัสปลายจมูกของเขา เขาหนาวจนตัวสั่นแต่ก็ยังลงมาจากรถอย่างไม่มีข้อกังขา

ต่างบอกว่าขุนนางในพระราชสำนักนั้นเป็นคนดี แต่ใครจะรู้บ้างว่าพวกเขานั้นทุกข์ทรมานขนาดไหน เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องในเช้านี้ เป็นการดีที่จักรพรรดิมีความกระตือรือร้นในการปกครองบ้านเมือง แต่การเรียกขุนนางเข้าไปในท้องพระโรงทุกวันมันก็ไม่ใช่สิ่งอันควร

“ใครว่าไม่ นี่มันผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ช่างน่าแปลกเหลือเกิน ทำไมหิมะถึงยังไม่หยุดตก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่าว่าแต่ประชาชนเลย พวกเราเองก็คงจะแข็งและหิวตาย” ขุนนางอีกคนซึ่งได้ยินคำพูดจากรถม้ากล่าวออกมา ทั้งสองเดินไปทางด้านพร้อมพูดคุยกัน

ในเวลานี้ทุกคนมารวมตัวกัน ไม่พูดเรื่องอะไรนอกจากเรื่องหิมะตก นี่เป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด

“อนิจจา ต่างพูดกันว่าหิมะตกเป็นปีที่ดี แต่หิมะตกหนักขนาดนี้มันจะไปเป็นปีที่ดีได้อย่างไร” คำพูดนี้ออกมาจากขุนนางซึ่งรับหน้าที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ตอนแรกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เนื่องด้วยภัยพิบัติหิมะทำให้อาหารขาดแคลน เขาซึ่งมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเกษตรกรรมจึงมีหน้าที่เพิ่มขึ้น

พูดถึงภัยพิบัติหิมะ ทุกคนต่างพูดกันไม่รู้จบ เดินไปพูดคุยกันไปเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ เนื่องจากนี่เป็นเหมือนการเข้าเฝ้าเล็กๆ ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่......

สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจคือ ในตอนที่ท้องฟ้าใกล้สาง คนสองคนที่ไม่ควรปรากฏตัวก็ปรากฏตัวออกมา

ขุนนางในพระราชวังกล่าวออกมาเสียงดังว่า “เสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋อง เสด็จมาถึงแล้ว ”

อะไรนะ? เหล่าขุนนางตกตะลึง เนื่องจากจักรพรรดิเป็นคนขยัน ในทุกวันจึงมีการเข้าเฝ้าเล็กๆ และในทุกสามวันจะมีการเข้าเฝ้าครั้งใหญ่ เสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋องจะมาในงานเข้าเฝ้าครั้งใหญ่เท่านั้น วันนี้เป็นการเข้าเฝ้าเล็กๆ ทำไมทั้งสองถึงมาปรากฏตัวได้

หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกกังวลเกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากในหมู่ของพวกเขาไม่มีใครสะอาดเลย

แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาคิดอะไรมากมาย พวกเขาเลิกส่งเสียง จัดเครื่องแต่งกายและเดินเรียงกันเป็นสองแถว เปิดช่องทางเดินตรงกลางไว้ และกล่าวทักทายทั้งสองคนพร้อมกัน

“ถวายบังคมเสด็จอาเก้า”

“ถวายบังคมซู่ชินอ๋อง”

“อ่า” เสด็จอาเก้าสวมชุดของเชื้อพระวงศ์สีดำ ชุดนี้ทำขึ้นด้วยเนื้อผ้าชั้นดี ด้านบนมีลวดลายของมังกรปักอยู่ ปกคอและแขนเสื้อถักด้วยด้ายสีทอง ในวันที่หิมะตกเช่นนี้แสงสีทองบนเสื้อของเขาเด่นชัดมาก แต่สิ่งซึ่งโดดเด่นมากที่สุดก็คือ ท่าทางและทัศนคติอันเย่อหยิ่งของเสด็จอาเก้าที่มีต่อทุกคน มันชัดเจนและมองเห็นได้ในระยะพันลี้

เสด็จอาเก้าเดินเข้ามา แม้แต่เสนาบดีเขายังไม่สบสายตา ตามธรรมเนียมแล้วเขาควรจะตอบรับหรือพูดคุยกับเหล่าขุนนาง ดูจากท่าทางแล้ว การที่จักรพรรดิขังเสด็จอาเก้าเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ไม่เพียงแค่ทำให้เสด็จอาเก้าเยือกเย็นขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เฉียบคมมากยิ่งขึ้น

เมื่อเทียบกับเสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋องดูดีกว่ามาก แม้ว่าเขาจะเข้มงวด แต่เมื่อพูดถึงเรื่องอารมณ์และมารยาท เขาดีกว่าเสด็จอาเก้า เขาให้เกียรติขุนนางทุกคน ส่วนเสด็จอาเก้า นอกจากเสียงตอบรับแล้ว แม้แต่สายก็ไม่ยังเคยหันมอง อย่างน้อยซู่ชินอ๋องก็ยังกล่าวออกมาว่า “ไม่ต้องมากพิธี”

ทั้งสองคนก้าวเดินไปด้านหน้าโดยไม่มีใครเข้ามาขวาง เพื่อเป็นการให้เกียรติซู่ชินอ๋อง เสด็จอาเก้าเดินตามหลังเขาอยู่ครึ่งก้าวตลอดทาง เมื่อทั้งสองเดินไปถึงด้านหน้าสุด ใบหน้าของเสด็จอาเก้ายังคงเยือกเย็น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวราวกับรูปปั้น

ที่จริงปกติแล้วเสด็จอาเก้าก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่เหมือนมนุษย์ แต่เหมือนรูปปั้นมากกว่า

“เจ้าเป็นอะไรอีกแล้วงั้นหรือ?” ซู่ชินอ๋องสัมผัสได้ถึงรัศมีอันเยือกเย็นบนร่างกายของเสด็จอาเก้า ดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงขึ้น ใครไปทำให้เขาโกรธงั้นหรือ?

แม้แต่จักรพรรดิยังต้องยอมแม้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ในตงหลิงนี้ยังมีใครกล้าทำให้เขาโกรธอีกงั้นหรือ? คนผู้นั้นเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?

เสด็จอาเก้าหันมามองซู่ชินอ๋องด้วยใบหน้าอันไร้ซึ่งความรู้สึก ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีอะไร” ซู่ชินอ๋องกลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาว่างจนเอาเวลาไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลยงั้นหรือ?

“ก่อนหน้านี้เจ้าดูเข้ากับคนอื่นได้ดีมากขึ้น แถมยังยินดีจะพูดกับผู้อื่นมากขึ้นด้วย แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลับไปเป็นสภาพเดิม เจ้ารับแรงกระตุ้นอะไรมาอย่างนั้นหรือ?” ไม่แปลกที่ซู่ชินอ๋องจะคิดเช่นนี้ ตั้งแต่เสด็จอาเก้าเข้าไปในเรือนจำ นี่เป็นครั้งแรกที่ซู่ชินอ๋องได้พบกับเขา

“ไม่มีอะไร แค่หลีกเลี่ยงปัญหา” ไม่มีแรงกระตุ้นอะไร ที่ไม่อยากพูดอะไรกับเหล่าขุนนางก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญญาและข้อสงสัย ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ แต่เขาจำเป็นต้องทำให้จักรพรรดิเห็น ครั้งนี้เขาแสดงอำนาจของเขาออกมาอย่างชัดเจน เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิหวาดระแวง ถ้าหากเขายังพูดคุยอย่างสนิทสนมกลับเหล่าขุนนาง แบบนั้นจักรพรรดิคงนั่งไม่ติด

เรื่องที่ไปเผ่าเสวียนเซียวกง เขาไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน

เรื่องพวกนี้เขาไม่สามารถอธิบายให้ซู่ชินอ๋องเข้าใจได้ ส่วนซู่ชินอ๋องจะคิดอย่างไร นั่นมันไม่เกี่ยวกับเขา เสด็จอาเก้าพร้อมก้มหน้ารับ

ผลลัพธ์คือเหมือนกับความปรารถนาของเสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋องคิดไปเองว่า “เจ้านี่มันเหลือเกิน เจ้ากำลังกังวลเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินใช่ไหม? เจ้าวางใจ เห็นแก่หน้าของเฟิ่งจ้าน ข้าเองก็จะคอยดูแลนางเช่นกัน หากมีใครคิดจะรังแกนาง ข้าจะต้องออกหน้าอย่างแน่นอน” คนอื่นไม่รู้ ในฐานะปู่ของตี๋ตงหมิง ซู่ชินอ๋องรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคู่หมั้นของเฟิ่งชิงเฉิน

นึกถึงตอนเสด็จอาเก้าเพิกเฉยต่อการกล่าวโทษของฝ่ายตรวจการ ไม่สนใจคำพูดของคนอื่นว่าตนเองมีอะไรกับหลานสะใภ้ มุ่งมั่นสานความสัมพันธ์กับเฟิ่งชิงเฉิน ซู่ชินอ๋องแสดงออกมาว่าตนเองเข้าใจว่าทำไมเสด็จอาเก้าถึงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ