สภาพแวดล้อมของเรือนกระจกนั้นยอดเยี่ยม บรรยากาศสวยงาม ดอกไม้ แสงเทียน สุราชั้นเลิศ อาหารเลิศรส ทุกอย่างแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศแห่งความรัก หากมีเสียงดนตรีบรรเลงคงจะดีกว่านี้ไม่น้อย
ในยุคปัจจุบัน เฟิ่งชิงเฉินโชคดีที่มีโอกาสได้ไปรับประทานอาหารบนสวนลอยฟ้า ดังนั้นการที่มารับประทานอาหารกับหลานจิ่วชิงในเรือนกระจก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นหลานจิ่วชิงที่มีความรู้สึกเช่นนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูเหวินชิงจะทำให้เรือนกระจกเป็นเหมือนความฝัน นั่งอยู่ในนี้ก็รับรู้ได้เลยว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
เขาแค่ต้องการรับประทานอาหารร่วมกับเฟิ่งชิงเฉินหนึ่งมื้อเท่านั้น ทำให้ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงเรือนกระจก สิ่งแรกที่นางนึกถึงต้องเป็นเรือนกระจกที่เคยทานอาหารร่วมกับหลานจิ่วชิง ไม่ใช่ภาพที่เคยรับประทานอาหารร่วมกับหวังจิ่นหลิง
แม้ว่าการกระทำนี้ของซูเหวินชิงจะบรรลุผล แต่มันก็มากเกินไปจนทำให้หลานจิ่วชิงรู้สึกอึดอัด โชคดีที่มีหน้ากากปิดบังไว้ ดังนั้นแม้ว่าหลานจิ่วชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้
“นำอาหารมาได้” หลานจิ่วชิงสั่นกระดิ่งบนโต๊ะ
นี่คืออุปกรณ์ที่เพิ่งติดตั้งในเรือนกระจก เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกที่มาทานอาหาร ดังนั้นในเรือนกระจกจะไม่มีคนรับใช้อยู่ พวกเขาจะขึ้นเมื่อมีเสียงกระดิ่งเรียกเท่านั้น
“คุณชาย แม่นาง” เด็กรับใช้แปลกหน้าเดินขึ้นมา หยุดอยู่ด้านนอกเรือนกระจก กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แค่มองเฟิ่งชิงเฉินก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนของนาง แต่เป็นคนของหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงคิดว่า “โรงเตี๊ยมโหย่วเจียน” เป็นสมบัติของเขาอย่างแท้จริง
สำหรับสิ่งนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจแต่อย่างใด สำหรับนางแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่ทำเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว นางไม่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจ ไม่มีความสามารถในการเป็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจ แค่มีรายได้เข้ามาทุกเดือนนางก็พอใจแล้ว
“นำอาหารมาได้เลย” หลานจิ่วชิงกล่าวอย่างรัดกุม ขยับร่างกายของเขาเล็กน้อยเพื่อซ่อนความลำบากใจ
“ขอรับ” เด็กรับใช้รีบเดินลงไป ทั้งชั้นเหลือเพียงเฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิงอยู่สองคน เฟิ่งชิงเฉินเห็นหลานจิ่วชิงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเคร่งขรึม ไม่ขยับ ไม่พูดอะไรออกมา และไม่มีทีท่าว่าจะพูด มือทั้งสองข้างเท้าคาง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เรือนกระจกถูกสร้างไว้สูงมาก มีเทียนเล็ก ๆ วางอยู่ด้านบนจำนวนมาก เมื่อมองขึ้นไปมันเหมือนกับดวงดาว และแสงดาวเหล่านี้มันก็อยู่ใกล้มาก
“งดงามยิ่งนัก” แสงเทียนที่ริบหรี่ดึงดูดสายตาผู้คน เฟิ่งชิงเฉินเอียงศีรษะ ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาสีดำสวยงามส่องประกาย ใบหน้าฉายแววชวนฝันถึง
“ใช่ งดงามยิ่งนัก” หลานจิ่วชิงกล่าวในเชิงเห็นด้วย
สิ่งที่เขายกย่องไม่ใช่ดอกไม้ในห้องและแสงเทียนเหนือหัวของเขา แต่เป็นรูปลักษณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน ในเวลานี้นางดูงดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้
เจ้ายืนดูทิวทัศน์อยู่บนสะพาน แต่มีอีกคนที่อยู่ด้านข้างกำลังจับจ้องเจ้าอยู่ สำหรับหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินคือคนที่ยืนอยู่บนสะพาน คือสาวงามผู้ซึ่งดึงดูดความสนใจของเขา งดงามจนทำให้เขาใจสั่นถึงขั้นทำให้เขารู้สึกอยากถอดหน้ากากออกมา
ทั้งสองคนมีมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ดี ไม่มีภาพของการพูดไปทานไปเกิดขึ้น ทั้งสองรับประทานอาหารเงียบ ๆ พอใกล้ยามเที่ยงคืน ทั้งสองก็ไม่กล้าทานไปมากกว่านั้น เมื่อทานอาหารไปได้พอประมาณ พวกเขาก็ให้คนมายกอาหารออกไปและนำชาร้อนมาแทน
เฟิ่งชิงเฉินถือถ้วยชาพร้อมเอนกายลงบนเก้าอี้ หรี่ตาเล็กน้อยและพูดคุยกับหลานจิ่วชิงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน อนาคต และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิต
เฟิ่งชิงเฉินผู้มีประสบการณ์มากมายแตกต่างจากเด็กผู้หญิงอายุ 15-16 ปีทั่วไป ความคิดของนางใกล้เคียงกับคนอย่างหลานจิ่วชิงมาก ทั้งสองมีมุมมองและการใช้ชีวิตที่คล้ายกันอยู่หลายประเด็น
ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยสำหรับทั้งสองคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยสงบสติอารมณ์ที่จะคุยกันแบบนี้ พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับความรักและการแย่งชิงอำนาจ
“ฟ้าเริ่มสาง ข้าควรกลับแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหาวและลุกขึ้นยืน
“อาหารมื้อนี้ ข้ารู้สึกมีความสุขกับมันเป็นอย่างยิ่ง” หลานจิ่วชิงเองก็ลุกขึ้นเพื่อตามไปส่งเฟิ่งชิงเฉิน
“ข้าเองก็เช่นกัน แน่นอน หากเป็นอาหารมื้อค่ำเหมือนดังปกติ ข้าจะรู้สึกมีความสุขมากกว่านี้” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาจากใจจริง
วันนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่ หากมีครั้งหน้า นางก็ไม่กล้ารับประกันว่าเสด็จอาเก้าจะทุบตีนางจนตายหรือไม่
“ข้ารู้สึกขอบคุณมาก ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวออกมาข้างนอกยามดึกเช่นนี้คงมิสะดวก” คำพูดของหลานจิ่วชิงไม่ได้ออกมาจากใจจริงเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาด้านนอกยามดึกนั้นสะดวกหรือไม่
“มันมิใช่ปัญหาเรื่องสะดวกหรือไม่ แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาคนนั้นของข้าจะโกรธ เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนขี้น้อยใจเพียงใด เขาจะมิพอใจเป็นแน่หากรู้ว่าข้าออกมาด้านนอกในเวลาเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไป แสดงรอยยิ้มอันน่ากลัวออกมา ทำให้หลานจิ่วชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ากลัวเขางั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและส่ายหน้า “มันมิเกี่ยวกับความกลัว นี่คือความเคารพนับถือของข้า หากเขากล้าออกไปหาผู้หญิงอื่นด้านนอกในยามดึก ข้าเองก็คงโกรธ มันมิใช่ปัญหาว่าเชื่อใจหรือไม่ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกมิสบายใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลานจิ่วชิงไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงออกมา เจ้าเองก็รู้ หากเจ้าปฏิเสธข้าก็มิมีทางโกรธ”
“ข้าเองก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวของข้า อีกอย่างเรื่องนี้ข้ารับปากกับเจ้าไปแล้ว ข้ามิมีทางกลับคำสัญญา” แม้หลานจิ่วชิงจะไม่พูด แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็เข้าใจ หากสืบหามือสังหารที่ฆ่าเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และหากคนเหล่านั้นต้องการฆ่าพวกเขา มันก็ง่ายยิ่งกว่า
หลายคนเสียชีวิตในคืนนั้น แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าหลานจิ่วชิงกำลังทำอะไรอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...
ตอนที่ 1425 หายไปค่ะ...