นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 939

สรุปบท บทที่ 939 ควบม้า เล่นเล่ห์เหลี่ยม: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อ่านสรุป บทที่ 939 ควบม้า เล่นเล่ห์เหลี่ยม จาก นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บทที่ บทที่ 939 ควบม้า เล่นเล่ห์เหลี่ยม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายInternet นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย อาช้าย อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ใช่ จักรพรรดิกำลังตักเตือนหรือข่มขู่เฟิ่งชิงเฉิน และเมื่อการตักเตือนสิ้นสุดลง เขายังบอกกับเฟิ่งชิงเฉินอีกว่านางต้องเอาชนะให้ได้ ห้ามทำให้เสียชื่อเสียงของสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตงหลิง

แม้ท่าทางของนางจะดูเหมือนตอบรับอย่างจริงใจ แต่ในใจนั้นนางกำลังสาปแช่งจักรพรรดิอยู่

บัดซบ......เห็นอยู่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจะใส่ใจเกี่ยวกับการประลองระหว่างนางกับตระกูลซู เหตุใดการประลองครั้งนี้จึงถูกยกระดับให้สูงขึ้นกลายเป็นระดับประเทศ หากเป็นเช่นนี้ ผลแพ้ชนะของนางจะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป

แต่ว่า นางกลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตงหลิงไปตั้งแต่เมื่อไหร่? จักรพรรดิเคยถามสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตงหลิงว่ายอมรับในตัวนางหรือไม่?

ต่อให้สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตงหลิงเต็มใจให้นางเป็นตัวแทนของชื่อเสียงและเกียรติยศของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นตัวแทนของสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตงหลิง เมื่อเป็นตัวแทนแห่งตงหลิง หากได้รับชัยชนะ นางจะได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศจากประเทศ แต่หากพ่ายแพ้ นั่นมันหมายถึงชีวิตของนาง

รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเสด็จอาเก้าที่เฝ้าฟังอยู่ด้านข้างกลายเป็นความเยือกเย็น จ้องมองไปที่จักรพรรดิด้วยความเย้ยหยันพร้อมกับแววตาที่มีความหมาย

เมื่อจักรพรรดิเห็นว่าบรรลุผลตามที่เขาต้องการแล้ว เขาโบกมือและกล่าวว่า “เริ่มการประลองได้!”

เมื่อเสียงของจักรพรรดิเงียบลง เหล่านางสนมที่อยู่ด้านหลังต่างยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอันสดใส มีแสงอันคลุมเครืออยู่ในสายตาของนางสนมบางคน แต่น่าเสียดายที่พวกนางถูกฉากบังเอาไว้ ประกอบกับสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นพระสนมของจักรพรรดิ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมองมาที่พวกเขาเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

เฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวขี่ม้าของตนเอง ราชองครักษ์ก้าวออกมาด้านหน้า พาเฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวไปยังสถานที่ประลอง ตรงปากทางเข้า เฟิ่งชิงเฉินเห็นตี๋ตงหมิงในชุดเกราะหันมายักคิ้วให้นาง

ความหมายของมันคือต้องการบอกให้นางวางใจ เขามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของสนามประลอง เขาตรวจสอบทุกอย่างแล้ว และพบว่าไม่มีปัญหา

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มตอบกลับไป ไม่ได้บอกว่าภัยคุกคามที่แท้จริงคือซูโหยวที่อยู่ข้าง ๆ นาง และถึงต่อให้ตรวจสอบอีกครั้งก็ไม่มีความหมาย

เห็นท่าทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของซูโหยว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าซูโหยวมั่นใจในทักษะการสะกดจิตของตนเอง และคิดว่านางจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงคำแจ้งเตือนของจักรพรรดิก่อนการประลอง เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ้มออกมาด้วยความดูถูก

ดูเหมือนว่าการประลองครั้งนี้นางจะต้องคว้าชัยชนะมาให้จงได้ ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิคงหาเหตุผลมาตำหนินาง เช่นนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงเสด็จอาเก้า และเสด็จอาเก้าที่ได้รับความสูญเสียจากจักรพรรดิ ผลของมันจะต้องย้อนกลับมายังตัวนางอย่างแน่นอน ดังนั้น......

ซูโหยว พระสนมในอนาคต การประลองในวันนี้ ข้าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องเป็นผู้ชนะ!

ตรงจุดเริ่มต้น ภายใต้คำสั่งของผู้ตัดสิน เฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวขึ้นมาในเวลาเดียวกัน เมื่อเห็นทักษะอันเชี่ยวชาญของซูโหยว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าทักษะการขี่ม้าของอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา

ก็จริง หากอ่อนแอเกินไปแต่กลับสามารถเอาชนะนางได้ เช่นนั้นใครก็ดูออกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ ต่อให้ซูโหยวเป็นฝ่ายชนะก็ไม่มีหน้าจะรับไว้

ไม่มีการนับจังหวะ หนึ่ง สอง สาม มีเพียงองครักษ์ที่ยืนโบกธงคำสั่งอยู่บนหอคอยเท่านั้น เมื่อผู้ตัดสินโบกธงลง เฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวก็กระแทกไปที่ท้องม้าเพื่อกระตุ้นให้ม้าวิ่งออกไปทันที

เสียงเกือกม้าดังขึ้น ผู้ชมซึ่งนั่งอยู่บนแท่นรับชมเห็นเพียงแค่ฝุ่นคลุ้ง ร่างทั้งสองของเฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวได้กลายเป็นเงาไปแล้ว

“องอาจไม่แพ้ชาย” โจวอ๋องซึ่งนั่งอยู่รวมกับทุกคนจ้องมองไปที่เงาร่างทั้งสอง เขารู้สึกว่าบรรยากาศนั้นครึกครื้นเป็นอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดของเขาจะเหมือนกับเศษกระดาษที่จมลงไปในน้ำ ซึ่งโยนลงไปแล้วไม่มีการกระเพื่อมเลยแม้แต่น้อย

โจวอ๋องมองมาที่จักรพรรดิ จากนั้นก็มองมาที่เสด็จอาเก้า สุดท้ายก็หดตัวลงและนั่งอย่างเชื่อฟัง

รอยยิ้มในดวงตาของหวังจิ่นหลิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาแทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา และเขาก็ไม่มองใบหน้าอันดำมืดของเสด็จอาเก้าอีกต่อไป สายตาของเขามีเพียงเงาทั้งสองที่อยู่บนหลังม้าเท่านั้น

“เฟิ่งชิงเฉินบ้าไปแล้วหรือไง แท่งไม้นั่นสูงถึงยี่สิบเมตร ม้าของนางไม่มีทางข้ามไปได้เป็นแน่”

“เชื่อในตัวชิงเฉิน นางไตร่ตรองมาดีแล้ว” หวังจิ่นหลิงเองก็เป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาเชื่อมั่นในตัวเฟิ่งชิงเฉิน เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่าม

ผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นรับชม นอกจากจักรพรรดิ ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน แม้เสด็จอาเก้าจะไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของเขาก็รู้ได้ว่าเขาเองก็รู้สึกเป็นกังวล

ความสูงของแท่งไม้แต่ละอันนั้นไม่เท่ากัน หากก้าวพลาดไปเฟิ่งชิงเฉินก็จะตกลงมาจากหลังม้า ถึงเวลานั้นร่างกายของนางก็จะไปกระแทกเข้ากับท่อนไม้ แม้ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส

หนานหลิงจิ่นสิง ในฐานะที่เป็นองค์รัชทายาทแห่งหนานหลิง ต่อให้เขาเป็นห่วงก็ไม่มีทางพูดออกมาได้ ทำได้เพียงกำมือแน่นพร้อมกับระงับความตื่นตระหนกและความกังวลเอาไว้ในใจ

เหล่านางสนมในวังต่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไป แม้ว่าการตะโกนโหวกเหวกโวยวายจะเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ที่นี่คือสนามแข่งม้า การที่สงวนตัวมากเกินไปก็มีแต่ทำให้เสียความสุนทรี นางสนมเหล่านั้นจึงรวบรวมความกล้าและตะโกนให้กำลังใจเฟิ่งชิงเฉินออกมาดังลั่น

ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจหรือความกังวล เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ยินหรือรับรู้อารมณ์และความรู้สึกเหล่านี้ทั้งสิ้น นางเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่แท่งไม้ซึ่งอยู่เบื้องหน้า ในตอนที่ม้าเพิ่มความเร็วไปข้างหน้า ทุกคนก็เห็นแค่เพียงเงาเสียงร้องของม้าที่ดังขึ้นมา

เงาเหล่านั้นไล่ตามกันในฝุ่น หลังจากนั้นก็เอนไปด้านหน้าอย่างรุนแรงและกระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว......

เวลานี้กลับมีเงาสามเงาปรากฏขึ้น หัวใจของผู้ชมดูเหมือนจะรัดแน่น ร่างกายของพวกเขาเอนไปข้างหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และบั้นท้ายของพวกเขาออกห่างจากที่นั่งโดยไม่รู้ตัว

พวกเขาต่างอยากรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถข้ามผ่านแท่งไม้เหล่านั้นไป หรือว่าม้ากำลังลอยอยู่บนอากาศ ส่วนเฟิ่งชิงเฉินก็ตกลงไปจากหลังม้า......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ