องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 105

ตำหนักชีหลิน

ต้าหย่งและต้าจ้วงกลับมารายงานหลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว

“รายงานพ่ะย่ะค่ะอ๋องเหยียน รวมแล้วได้แลกเนื้อสดยี่สิบคัน และมีข้าวสารสามพันตัน รวมแล้วมีรถม้าหนึ่งร้อยคัน พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”

“รายงานพ่ะย่ะค่ะอ๋องเหยียน ได้ทำการรวบรวมผู้คุ้มกันขนส่งสองพันนายในเมืองเรียบร้อยแล้ว รอรับคำสั่งและออกปฏิบัติการได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเหยียนหยักหน้าอย่างพอใจกับการทำภารกิจของต้าจ้วงและต้าหย่งแล้วพูดว่า “ทำได้ดี ไปเตรียมรถม้าอีกสักหน่อย เอาให้พอกับไส้ศึกหญิงอาณาจักรจ้าวทั้งสองร้อยคนนั้น”

ต้าหย่งและต้าจ้วงเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แม้จะไม่เข้าใจแต่พวกเขาก็ทำตามคำสั่งของอ๋องเหยียนอย่างเต็มที่ ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปเตรียมการทันทีพ่ะย่ะค่ะ!”

และในขณะนี้ องค์ชายใหญ่ฉินชงก็ได้มาหา “น้องสิบสี่ เตรียมการไปถึงไหนแล้วบ้าง?”

ฉินเหยียนยืนขึ้นต้อนรับ “มีพี่ชายทั้งสองไปร่วมรบกับข้าด้วย ข้ายังต้องเตรียมอะไรอีกละ”

เมื่อองค์ชายใหญ่ฉินชงได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “น้องสิบสี่ ใช่ว่าพี่อยากจะว่าเจ้าหรอกนะ โอกาสดีในการสยบอาณาจักรจ้าวในครั้งนี้เราไปกันสองคนก็พอแล้ว เหตุใดเจ้ายังจะพาพี่เจ็ดของเจ้าไปอีก อีกอย่างใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่า พี่เจ็ดของเจ้าเห็นเราสองคนเป็นตัวเกะกะ เขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับเราได้อย่างไรกัน”

ฉินเหยียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายเจ็ดฉินอวี่ดูถูกเขา แต่อย่างไรเครือญาติขององค์ชายเจ็ดฉินอวี่ก็ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ทั้งนั้น มีเสบียงในมือ หากต้องสู้รบกับอาณาจักรจ้าวตรงๆขึ้นมาจริงๆ จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอำนาจของฉินอวี่

จึงได้พูดอย่างไม่แยแสว่า “โธ่พี่ใหญ่ อย่างไรพี่เจ็ดก็เป็นพี่น้องเรา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่มีทางไม่ช่วยเราหรอก วางใจเถิด”

ฉินชงเห็นว่าพูดไปฉินเหยียนก็ไม่เข้าใจ จึงพูดเตือนว่า “เจ้าเห็นเขาเป็นพี่น้อง แต่เขาไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่น้องเลย ข้าจะบอกให้นะ เมื่อครู่นี้คนของข้ามารายงานว่าพี่เจ็ดของเจ้าออกจากเมืองหลวงก่อนเราไปแล้ว!”

ฉินเหยียนรู้ตั้งนานแล้ว แต่แสร้งทำเป็นตกตะลึงแล้วพูดว่า “หา? พี่เจ็ดไปแล้วรึ? รีบร้อนขนาดนี้จะไปทำอะไรรึ”

องค์ชายใหญ่ฉินชงทำเสียงเย็นชา “ที่เขามุ่งหน้าไปก่อนจะต้องมีแผนไม่ดีแน่ ระหว่างทางมีกองกำลังของตระกูลพระมารดาของเขาเต็มไปหมด ข้าสงสัยว่า ไม่แน่เขาอาจวางแผนอะไรเพื่อให้เราพลาด”

ฉินเหยียนพูดปลอบใจว่า “พี่ใหญ่อย่ากังวลไปเลย ไม่เป็นไร ต่อให้พี่เจ็ดจะเริ่มมุ่งหน้าไปก่อน ไว้เราค่อยๆตามไปก็ได้”

ฉินชงหมดคำจะพูด “ข้าพูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

เมื่อพูดดังนั้นแล้วเขาก็โบกแขนเสื้อแล้วเดินจากไปจากตำหนักชีหลิน

เมื่อส่งองค์ชายใหญ่ไปแล้ว ฉินเหยียนก็ยิ้มออกมา

......

วันต่อมา มาถึงวันที่ต้องออกทัพแล้ว

กองทัพใหญ่ออกรบทำให้ดูยิ่งใหญ่อย่างมาก เหล่าขุนนางทุกคนต่างรอกันอยู่ที่ประตูเมืองหลวงแล้ว ฮ่องเต้ฉินเองก็มองจากหอคอย เบื้องล่างมีทหารห้าหมื่นนายรวมตัวกันอยู่

หมู่ขุนนางมีคนพูดขึ้นอย่างเสียงเบาว่า “เหตุใดองค์ชายสิบสี่จึงยังไม่มาอีก?”

“คงไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็เกิดกลัว เพราะต้องสู่รบกับอาณาจักรจ้าว เลยหนีไปแล้วหรอกนะ!”

“หึ พูดไว้ดิบดี ยังบอกว่าจะให้คํามั่นสัญญาโดยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎทหารอีก ช่างขี้ขลาดจริงๆ!”

สีหน้าของฮ่องเต้ฉินเองก็ไม่ดีนัก วันสำคัญเช่นนี้ยังมาสายอีก เจ้าสิบสี่ช่างไม่รู้ลำดับความสำคัญจริงๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดกันอยู่ ก็เห็นว่ามีขบวนหรูหราค่อยๆเดินมา

“พวกเจ้าดูสิ นั่นคือกองทัพขององค์ชายสิบสี่!”

ทุกคนมองไปตามเสียง ในขบวนนั้นมีรถม้านับร้อยคันที่ขนเสบียงอยู่ ทุกคันมีผู้คุ้มกันขนส่งล้อมอยู่นับสิบคน ทุกคนดูกำยำกันหมด ในสายตาของพวกขุนนางในราชสำนักแล้ว ล้วนเป็นนักรบพเนจร

เมื่อมองดูดีๆแล้ว ในขบวนยังมีรถม้าประดับดอกไม้อีกสิบกว่าคัน บนรถม้ามีหญิงงามนับร้อยคนอยู่ พวกนางปัดม่านขึ้นแล้วพูดคุยราวกับกำลังหารืออะไรกัน

หากในขบวนไม่มีทหารหัวกะทิแปดร้อยนายที่ทำให้ขบวนดูจริงจังขึ้นมาหน่อย ไม่เช่นนั้นใครมองไปก็ไม่เชื่อว่าเป็นพวกนักสู้พเนจร ไม่สมกับที่จะออกไปสู้รบเลย

เมื่อเหล่าขุนนางมองเห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่นำทัพคือองค์ชายสิบสี่ฉินเหยียน ก็ได้หัวเราะขึ้นมาตามๆกัน

“หึ ข้าคิดว่าดูผิดไปเสียอีก นั่นคือขบวนทัพขององค์ชายสิบสี่ไม่ใช่รึไง!”

“นี่จะไปสู้รบกับอาณาจักรจ้าวงั้นรึ ออกไปท่องเที่ยวเพลิดเพลินซะมากกว่า!”

“ใครเขาไปสู้รบแล้วยังพาผู้หญิงไปด้วยกัน นี่ล้อเล่นกันชัดๆ!”

“องค์ชายสิบสี่ติดนิสัยเจ้าชู้ คนไร้ความสามารถทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หมดหนทางจะช่วยเหลือจริงๆ!”

เหล่าขุนนางต่างพากันประชดประชันฉินเหยียน แม้แต่ฮ่องเต้ฉินยังสงสัยขึ้นมาว่าการที่ให้เจ้าสิบสี่ไปสมรภูมิเช่นนี้เป็นความผิดรึเปล่า

แต่เขาคือฮ่องเต้แห่งอาณาจักรนี้ สิ่งที่ได้กล่าวออกไปแล้วก็ยากจะกลับคำ หากเจ้าสิบสี่สามารถปิดปากพวกนี้ได้ด้วยการเอาชนะ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากไม่อาจเอาชนะได้ ก็ถือว่าได้ทุ่มเทให้อาณาจักรฉิน อุทิศตนให้กับมัน คนอื่นก็จะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้

ยอมปล่อยมือดูสักตั้ง และพูดอย่างเข้มงวดว่า “เคลื่อนพล!”

จากนั้นเสียงกลองสงครามอันน่าตื่นเต้นก็ดังขึ้นตึงตึงตึง แถวขบวนที่ยืนส่งอยู่ทั้งสองข้างก็ได้ยกแตรขึ้นมาเป่าพร้อมกัน เสียงแตรอันโกรธเกรี้ยวดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงอยู่นาน

ฉินเหยียนและฉินชงได้โบกมือให้กับทุกคนในเมืองหลวง จากนั้นก็หันหัวม้าแล้วออกคำสั่งว่า

“เคลื่อนกองทัพ ออกเดินทางได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ด้วยคำสั่งของทั้งสองคน พวกเขาได้ก้าวออกไปสู้รบอย่างหนักแน่น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์